จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผนึกความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ เพิ่มศักยภาพในการให้บริการวิชาการแก่สังคม พร้อมเปิดหลักสูตร None-Degree ส่งเสริมการเรียนรู้แก่ประชาชน
พิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผศ.ดร. นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานในพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เปิดเผยว่า พันธกิจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไม่ได้มีแต่หลักสูตรที่ผู้เรียนได้รับปริญญาเท่านั้น แต่ยังมีหลักสูตรระยะสั้นในรูปแบบ Non-Degree สำหรับผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนในหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประชาชนคนไทยที่ไม่ใช่นิสิตนักศึกษา โครงการความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างพื้นที่ในกรุงเทพฯ และทางภาคใต้ มุ่งเน้นหลักสูตรที่เป็น Non-Degree ทั้งในรูปแบบการเรียนออนไลน์และออฟไลน์
ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการสร้างความร่วมมือโดยใช้องค์ความรู้ที่จุฬาฯ มีความชำนาญ โดยมีการเชื่อมโยงและขยายผลไปยังพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจุฬาฯ เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญและมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นการสร้างโอกาสแก่ผู้เรียนใน 5 วิทยาเขตของ มอ. ในภาคใต้ หลักสูตรในลักษณะ Non-Degree จะเป็นประโยชน์ในการสร้างอาชีพและพัฒนาโอกาสในการเรียนรู้ รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือต่าง ๆ ให้มีความเข้มแข็ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ การวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและสร้างคุณูปการต่อประชาสังคม ความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาหลักสูตร การดำเนินงานวิจัย ตลอดจนการสร้างเครือข่ายทางวิชาการและวิชาชีพในระดับชาติและนานาชาติ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและนักศึกษาในทุกมิติ นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับพันธกิจของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการเป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การสาธารณสุข และการพัฒนาชุมชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน