เปลว สีเงิน
เอาละซี….!
ในที่สุด การ ”ปิดแอร์วัดใจ” ก็เกิดขึ้น
ระหว่าง “กองทัพภาค ที่ ๑” ของไทย กับ “ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ ๕ ของเขมร”
ในประเด็นว่า….
ทางเขมรทำหนังสือถึง “พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ” แม่ทัพภาคที่ ๑ นัดประชุม “คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย–กัมพูชา” (RBC) สมัยพิเศษ ที่จังหวัดบันเตียเมียนเจย ระหว่าง ๑๐-๑๒ ตุลา.
แต่เมื่อ ๓ ตุลา.พลโท วรยส ลงนามในหนังสือ “ด่วนที่สุด” ตอบกลับ “ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ ๕” ของเขมร ยืนยันจุดยืนของฝ่ายไทยว่า
“ก่อนการประชุม RBC ๑๐-๑๒ ตุลา.ฝ่ายเขมรต้องจัดทำและส่ง “แผนอพยพประชาชน” ในพื้นที่ ๓ หมู่บ้าน คือ
- บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง สระแก้ว
- บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง สระแก้ว
- บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา สระแก้ว
ภายในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๘ และต้องนำเสนอในที่ประชุมอย่างเป็นทางการ
หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้ ฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุม RBC ครั้งนี้
และเมื่อวาน (๕ ต.ค.)ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ ๕ ของเขมร มีหนังสือตอบกลับมาถึงแม่ทัพภาค ที่ ๑ ของไทยว่า…….
ในกรณีนี้ ภูมิภาคที่ ๕ ขอชี้แจงจุดยืนดังนี้
๑.ข้อเสนอให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคระหว่างภูมิภาคที่ ๕ และกองทัพภาค ๑
สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการมอบหมายภารกิจให้แก่คณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ของทั้งสองประเทศ คือกัมพูชาและไทย
รวมถึงสิ่งที่ได้กําหนดไว้ในการประชุมวิสามัญครั้งที่หนึ่ง เมื่อ ๒๒ ส.ค.๖๘
๒.กรณี หมู่บ้านโจคเจยและบ้านไปรจัน ซึ่งกองทัพภาคที่ ๑ได้เสนอมา จะต้องดําเนินการให้เป็นไป ตามข้อตกลง GBC ของทั้งสองประเทศ เมื่อ ๑๐ ก.ย. ๖๘ ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะข้อที่ ๘ ของรายงานการประชุม ได้รับมอบหมายให้ JBC เป็นกลไกที่มีอํานาจในการประชุมเพื่อหาข้อยุติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุม RBC ในระดับภูมิภาคทหารมีหน้าที่เพียงอํานวยความสะดวกแก้ไขปัญหาในพื้นที่บรรเทาความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาอย่างสันติ แต่ไม่มีอํานาจในการกําหนด เกี่ยวกับเส้นเขตแดน
๓.ขอแจ้งว่าจากการสังเกตการณ์พื้นที่จริง ได้แสดงให้เห็นและยืนยันอย่างชัดเจนว่า
ในบางพื้นที่มีการยึดครองและแสวงประโยชน์โดยคนไทยภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
ปัญหานี้ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความยากลําบากในการแก้ไขปัญหาชายแดน จึงจําเป็นต้องเคารพข้อตกลงและหลักการที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ในอดีต
กัมพูชามุ่งมั่นที่จะเคารพสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ กล่าวคือ รอผลการประชุม JBC โดยเฉพาะกรณีในพื้นที่บ้านโจคเจยและบ้านไปรจัน (รวมถึงพื้นที่ที่มีการก่อสร้างของไทยและประชาชนชาวไทยดําเนินการอยู่นอกเขตชายแดนบางพื้นที่)
โดยในเรื่องนี้ กัมพูชายังคงผลักดันให้มีการประชุม JBC เพื่อหาทางออก โดยเร็ว
๔.ภูมิภาคทหารที่ ๕ ขอให้เคารพข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่าย กัมพูชา-ไทย ได้ตกลงกันไว้ในการประชุม GBC ที่ผ่านมา
กัมพูชาขอเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อกระบวนการหาทางออกอย่างสันติวิธี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลีกเลี่ยงกิจกรรมใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองฝ่าย ระหว่างรอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ
สรุปใจความชัดๆ คือ….
“กูไม่อพยพออกจากบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านตาพระยา ตามที่แม่ทัพภาคที่ ๑ ของไทยยื่นเงื่อนไข”!
ก็ต้องลุ้นระทึกกันว่า
๑.ที่ไทย “ขีดเส้นตาย” ๑๐ ตุลา.ต้องออกไปจากบ้านหนองจาน นั้น ถึง ๑๐ ตุลา.เขมรจะยอมออกหรือดื้อแพ่งอยู่ต่อ?
๒.ถ้าดื้อแพ่งอยู่ต่อ กองทัพภาคที่ ๑ และฝ่ายจังหวัดสระแก้ว จะทำให้เส้นตายนั้นศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการผลักดันเขมรเนรคุณออกไป หรือได้แต่ยืนทำตาปริบๆ
๓.เมื่อเขมรทำหนังสือตอบมาเช่นนี้ กองทัพภาค ที่ ๑ จะตัดสินใจอย่างไร ไปประชุม RBC นัดพิเศษที่ “บันเตียเมียนเจย” ตามนัด หรือยกเลิกการประชุมครั้งนี้?
นี่มันกลายเป็น “เกมศักดิ์ศรี” ก็ต้องดูว่า “พลโท วรยส” จะใช้มาตรการแบบไหนเมื่อฝ่ายเขมรปฎิเสธเงื่อนไขแบบ “กูไม่สน” โดยโยนลูกไปที่ JBC!
เรื่องนี้ ทำให้ กองทัพภาค ที่ ๑ และฝ่ายปกครองต้องเดินเกมระมัดระวัง ทั้งต้องเด็ดขาด
เมื่อขีดเส้นตายแล้ว กลับแหยให้เขมรมันได้ใจ
อีกหน่อย มันก็จะรุกมายึดทั้งจังหวัด แล้วอ้างหน้าตาเฉยว่าสระแก้วเป็นส่วนหนึ่งของ “บันเตียเมียนเจย”
แล้วทั้งทหาร ทั้งรัฐบาลไทย ที่ทำได้ ก็แค่ “ขีดเส้นตาย” จากตีนเขาไปจนถึงยอดพระสุเมรุโน่นแหละ?!
นี่พูดในเชิงให้สังวรณ์ แต่มันเกิดขึ้นไม่ได้แน่ ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว เป็นปรากฎการณ์ที่น่า “ตื่นตา-ตื่นใจ”
ประเทศชาติ ไม่ได้อยู่ในอำนาจผูกขาดของ รัฐบาล รัฐสภา และกองทัพ เหมือนแต่ก่อนๆ แล้ว
วันนี้ ประชาชน “ไม่ยอมแล้ว” ต่างตื่นตัวและลุกขึ้นมาเป็น “อำนาจที่ ๔”
คือ “อำนาจประชาชน” เข้าไปมีส่วนร่วม “รับรู้-รับเห็น” ในการตัดสินใจและการกระทำของ “รัฐบาล รัฐสภา และกองทัพ” ด้วย
เพราะการทุจริตคอร์รัปชันในราชการและการเมือง รวมถึงความต่ำมาตรฐานคุณภาพของสมาชิกรัฐสภา
เหลวแหลกไปถึงขั้นว่า มีไอ้สารเลวชักใยรัฐบาลมารเมืองเป็น “ไส้ศึก” ให้เขมร หวังเอาผลประโยชน์ชาติไปแบ่งกันกับผู้นำเขมร!?
ชาวบ้าน คือประชาชนต่ำศักดิ์ ผู้หวงแหนชาติบ้านเมือง….
สุดที่จะทนเห็นการเมืองกินเมือง วันนี้ จึงออกมาใช้ “อำนาจที่ ๔” ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์ชาติประสานกับกองทัพ และเยาวชนที่ตื่นตัว
แม้กระทั่ง พระสงฆ์องค์เจ้า เมื่อเห็นบ้านเมืองมีภัยคุกคาม พระท่านก็ออกมาช่วยทหาร
สละทั้งเงินที่ชาวบ้านถวาย ทั้งอาหารและสิ่งของ แม้กระทั่งแรงกาย พระท่านยังออกมาขุดดิน ขุดหิน ทำถนน ก่อกำแพง
ไม่เห็นมี “ท่านผู้ทรงเกียรติ” ทั้งตัวผู้-ตัวเมีย ตัวไหน อย่าว่าแต่ ออกมาสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ชาติเลย
แค่เอ่ยปากสรรเสริญ-ยกย่องซักคำในรัฐสภา ก็ไม่มี!
ชาวบ้านทั้งที่เขาแร้นแค้นแสนลำบาก….
แต่ “ข้าวคำ-น้ำหนึ่งขวด” เขายังมีน้ำใจแบ่งปันให้ทหารที่ “ชีวิตนี้พลีเพื่อชาติ”
นี่….อำนาจที่ ๔ คือ “อำนาจประชาชน” วันนี้เ ขาทนดูไม่ไหวกับบ้านเมืองที่อาจจะวอดวาย
ถ้าขืนปล่อยให้คนขายชาติและข้าราชการ, นักการเมืองรวมหัวกัน คอร์รัปชัน ย่ำยี ขี่คอประชาชน โดยต่างคน-ต่างทอดธุระ!
ดังนั้น จึงเห็นในกรณีชายแดน “ไทย-เขมร” ในขณะที่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายกองทัพยึกๆ ยักๆ ในมาตรการผลักดันเขมรที่เลี้ยงไม่เชื่อง
ประชาชนจึงประกาศกร้าว “ต้องเอาให้มันจบไป” ไม่อย่างนั้น ไม่ยอม
อย่างที่ขีดเส้นตาย ๑๐ ตุลา.เขมรต้องออกไปจากบ้านหนองจาน ชาวบ้านออกมา “ขีดเส้นตาย” ให้ทหารและจังหวัดเช่นกันว่า
ถ้า ๑๐ ตุลา.ผลักดันออกไปไม่ได้ ประชาชนจะบุกไปถามถึงจวนผู้ว่าฯ สระแก้ว
“ไหนว่า ๑๐ ตุลา.ให้เขมรออกไป แล้วทำไมยังปล่อยให้มันยืนเยี่ยวรดลวดหนามเย้ยอยู่ได้?!”
ทางด้าน “จันทบุรี-ตราด” ก็เช่นกัน เรื่องบ้าน ๓ หลัง เรื่องกาสิโนที่เขมรสร้างล้ำเข้ามาแดนไทย ฝ่ายทร.บอก
จะรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือจะไม่รื้อ เอาไว้เป็นที่ทำงานร่วมกันดี?
ชาวบ้านบุกไปถึงกองทัพเรือ….
ยื่นคำขาดให้ทุบทิ้งไปเลย ถึงขั้นบอกว่าถ้าอยากได้สถานที่ทำงาน ชาวบ้านจะลงขันสร้างใหม่ให้เอง”!
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า…..
บัดนี้ ประชาชนคนไทย ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก-อีสาน “กล้าแข็ง” สามัคคี ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นแกนค้ำชาติบ้านเมืองพร้อมกันโดยไม่มีการนัดหมาย
เป็น “อำนาจที่ ๔” คานอำนาจรัฐที่หาความสัตย์ซื่อยากขึ้นทุกวัน!
ฉะนั้น ในทางการเมือง “ศรัทธา” จะได้มาก็จาก “พูดแล้วทำ”
ในทางการทหาร ถ้าจะให้ประชาชนเชื่อมั่น
“เส้นตาย” ต้องเป็น “เส้นตาย”!
เปลว สีเงิน
๖ ตุลาคม ๒๕๖๘
