ผักกาดหอม
เฉียดฉิวครับ…
วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘ “ทวี สอดส่อง” ลงนามเอกสารลับที่ ยธ ๐๗๐๓.๔๑๓๐๗ เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ถึงนายกรัฐมนตรี คือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ผู้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หนึ่งวันก่อนที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ วันที่ ๒๔ กันยายน ซึ่งเป็นการนับหนึ่งการทำงานของรัฐบาลอนุทินอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้มองได้หลายมุมครับ
“ทวี” หยุดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ลอยแพ”
หรือมีสัญญาณบางอย่างในการหยุดเรื่องนี้เพื่อมิให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท เพราะฎีกาที่จะถวายนั้นมีความผิดปกติทั้งในแง่กฎหมาย และความรู้สึกของประชาชน
ไปเริ่มต้นที่ขั้นตอนการถวายฎีกา แล้วจะเห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้นว่าใครต้องการอะไร
ผู้มีสิทธิยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลนั้น กฎหมายระบุเจาะจงเอาไว้ว่าต้องเป็นใครบ้าง
ต้องเป็น ผู้ต้องขังเด็ดขาด หรือผู้มีประโยชน์
อาทิ บิดา มารดา คู่สมรส บุตรของผู้ต้องขัง
สถานทูต ในกรณีที่เป็นนักโทษชาวต่างชาติ
เมื่อกรมราชทัณฑ์ได้รับเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษจากเรือนจำ หรือกรมทัณฑสถานแล้ว จะดำเนินการดังนี้
๑.ตรวจสอบเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับฎีกา คำพิพากษา หมายจำคุก หมายลดโทษ เอกสารประกอบเรื่องราวว่าถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะจัดส่งกลับไปเรือนจำและทัณฑสถานเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
๒.ในกรณีมีปัญหาที่จะต้องขอทราบข้อเท็จจริง ประวัติการกระทำผิดหรือรายละเอียดบางประการเกี่ยวกับนักโทษ จะต้องประสานงานไปยังเรือนจำ หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีตำรวจภูธรท้องที่ หรือศาล เป็นต้น
๓.ในรายที่เป็นนักโทษความผิดคดียาเสพติดให้โทษ ต้องขอทราบข้อมูลประวัติการกระทำผิดไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาทุกราย
๔.สรุปย่อฎีกาทูลเกล้าฯ และคำพิพากษาในคดีของนักโทษเด็ดขาดรายนั้นๆ
๕.ประมวลเรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเหตุผลที่จะถวายความเห็นขึ้นไปตามลำดับชั้นจนถึงกระทรวงยุติธรรม เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาให้ความเห็นแล้ว จะเสนอเรื่องเพื่อนายกรัฐมนตรีนำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป
๖.เมื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกานั้นเป็นประการใด กรมราชทัณฑ์จะแจ้งให้เรือนจำ หรือทัณฑสถานทราบเพื่อแจ้งผู้ถวายฎีกา และบันทึกรับทราบไว้เป็นหลักฐานต่อไป
๗.กรณีนักโทษซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิต ก็จะต้องดำเนินการโดยนัยเดียวกันกับการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลดังกล่าวมาแล้ว
หากมีพระราชกระแสให้ยกฎีกา คือไม่พระราชทานอภัยโทษให้ กรมราชทัณท์จะแจ้งเรือนจำให้บังคับโทษประหารชีวิตกับนักโทษรายนั้นโดยไม่ชักช้า
ที่ต้องยกรายละเอียดมาก็เพราะต้องการให้เห็นว่า การขอพระราชทานอภัยโทษนั้น มิได้ทำกันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ได้พิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
แล้วกรมราชทัณฑ์ทำผิดซ้ำอีกครั้ง ด้วยการเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
แต่…ถือเป็นโชคดีของคนในกรมราชทัณฑ์ ที่ “ทวี” ตีตกไปเสียก่อน
“…กระทรวงยุติธรรมพิจารณาแล้ว ขอเรียนว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ได้ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยยินยอมเดินทางกลับมารับโทษ และมีคุณงามความดีขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการดำเนินการโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหลายโครงการ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ บค ๑/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๘ ให้จำคุกนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ๑ ปี จึงเห็นควรยกฎีการายนี้เสีย ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอ
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในโอกาสอันควร…”
นี่คือความพยายามอย่างหน้าไม่อาย ไม่สนใจว่าสังคมจะคิดอย่างไร
ที่สำคัญไม่สนว่าเรื่องที่ถวายไปนั้นจะระคายเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่!
อย่างที่ทราบกัน “ทักษิณ” ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้วครั้งหนึ่ง ช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖ โดยอ้างว่า สำนึกในความผิดแล้ว
ครั้งนั้น “ทักษิณ” ได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากโทษจำคุก ๘ ปี เหลือ ๑ ปี
แต่ “ทักษิณ” ไม่ยอมติดคุก
ไปตั้งแก๊งสร้างเรื่องเท็จอ้างเป็นผู้ป่วยวิกฤตหนัก นอนห้องวีไอพี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษใหม่
ส่งเข้าคุกจริง ๑ ปี
“ทักษิณ” ไม่รอให้เสียเวลาเลยครับ ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งทันที
ทนายก็อ้างว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องขัง แต่ไม่บอกรายละเอียดว่าข้อกฎหมายข้อไหนให้ทำแบบนั้น
กางประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๖๔
“…เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่นซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกไปหนหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้นสองปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน…”
นั่นคือคนที่ขอแล้วไม่ได้ ต้องรออีก ๒ ปีถึงจะยื่นใหม่ได้
แต่คนที่ได้แล้ว กลับไม่ทำตามที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อถูกจับได้ ยังกล้าที่จะขอพระราชทานอภัยโทษใหม่
เป็นชาวบ้านธรรมดา การให้อภัย ๑ ครั้ง เป็นสิ่งที่รับได้ และควรทำหากคนผิดได้สำนึกผิด และสัญญาว่าจะไม่ทำผิดอีก
แต่เมื่อให้อภัยแล้วยังทำผิดซ้ำซาก กลับจะขอให้ยกโทษอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นชั่วโดยสันดาน ไม่ควรให้อภัยอีก
การให้อภัย “ทักษิณ” วันนี้ไม่ต่างจากการทำร้ายประเทศ เพราะ “ทักษิณ” ยังบริหารอำนาจการเมืองผ่านพรรคเพื่อไทยได้ตลอดเวลา แม้ว่าตัวจะอยู่ในคุก
คนแบบนี้สมควรติดคุกเต็ม ๘ ปีด้วยซ้ำ เพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า คนผิดต้องได้รับโทษตามที่ศาลได้พิพากษาไว้
ที่สำคัญ “ทักษิณ” อ้างในหนังสือถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ ๒ ว่า สำนึกในการกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว และจะจดจำจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ครั้งแรกพอทน ครั้งที่สองพอเลย
หาสำนึกไม่.
