ผักกาดหอม
สงสัยไม่ค่อยถนัด…
พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นฝ่ายค้านไม่กี่วันดันลืมไปแล้วว่าวันก่อนเพิ่งจะเป็นรัฐบาล
แถมเป็นมาแล้ว ๒ ปี
การเป็นรัฐบาล ๒ ปี ควรทำอะไรได้บ้าง?
น่าจะเยอะครับ โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน
รัฐบาลเศรษฐากับรัฐบาลแพทองธาร มีนโยบายที่ต้องทำทันทีคล้ายๆ กัน แก้หนี้เกษตรกร แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด ฯลฯ
ที่เห็นสำเร็จเป็นรูปธรรมคือแจกเงินหมื่น ซึ่งเอาเด็กอนุบาลมาเป็นนายกฯ ก็สามารถออกนโยบายแบบนี้ได้
เอาเงินหลวงไปแจกมันยากตรงไหน
ส่วนนโยบายอื่นๆ แทบมองไม่เห็น
ไอ้ที่เห็นคือ แจกเงินหมื่น ก็เห็นแค่แจก แต่ไม่เห็นเค้าของการกระตุ้นเศรษฐกิจ
๒ ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเสียเวลาเปล่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ แถมยังสร้างหนี้ก้อนมโหฬารให้ลูกหลานชดใช้กันหัวบาน
พาประเทศไทยดำดิ่งสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ประชาชนขัดสนเสียยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลลุงตู่ที่ต้องสู้กับการระบาดของโควิด ๓-๔ ปี
นับเป็นมหาวิกฤตของโลก
นั่นคือ ๒ ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
มาวันนี้พรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้านหมาดๆ วิจารณ์รัฐบาล ๔ เดือนว่าจะไปทำอะไรได้
“…๔ เดือนนี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ โดยเฉพาะกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการทำงานในนโยบายต่างๆ ที่ระบุมา ดังนั้น ๔ เดือนในข้อตกลงนั้น มองได้หลายมุม แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า คุณอนุทิน อยู่ต่อ ซึ่งอาจจะยุบสภาและเป็นนายกรัฐมนตรี และ ครม.รักษาการกันแบบยาวๆ ไป
พรรคประชาชน ไม่ทันเกมพรรคภูมิใจไทย และกลุ่มก๊วนการเมืองที่ผมไม่อยากบอกว่ารวมอะไรไปไว้บ้าง วันนี้ได้กลายเป็นนั่งร้านให้กับพรรคภูมิใจไทยไปแล้ว ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ก็เต็มใจทำโดยไม่ได้มองภาพเดิมที่น้องๆ นักศึกษาและกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยมาเคลื่อนไหว
ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขั้นตอน ๔ เดือนทำไม่ได้แน่ และนโยบายต่างๆ ก็ทำไม่ได้ด้วย จึงกลายเป็นว่าห้วงเวลานี้พรรคภูมิใจไทยและอีกหลายพรรคได้มาฟอกขาว และเตรียมการต่างๆ ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…”
“…ภาพของ ครม.ที่กำลังพูดถึงในเวลา ๔ เดือนนี้ มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ซึ่งหน้าใหม่คือกลุ่มนักธุรกิจที่นายกรัฐมนตรีพยายามจะสร้างภาพและตักตวงอะไรบางอย่าง จนนำไปสู่การเตรียมการเลือกตั้งของฝ่ายตนเองหรือการเตรียมการรักษาการไปยาวๆ
ดังนั้นถึงเวลาที่คนรุ่นเก่า หรือนักรบห้องแอร์ จะต้องเตรียมปล่อยผ่านและเปลี่ยนผลัดให้กับกลุ่มการเมืองรุ่นใหม่ และคนใหม่ได้มาทำหน้าที่เพื่อคงไว้ซึ่งประชาธิปไตยและทำประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติ ส่วนการที่หลายฝ่ายมาระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะต่ำร้อย เรื่องนี้ไม่จริงอย่างแน่นอน…”
นั่นคือคำพูดของ “หมอเชิดชัย ตันติศิรินทร์” สส.แบบบัญชีรายชื่อ ขาบู๊พรรคเพื่อไทย
แค่ “อนุทิน” เอานโยบายคนละครึ่งกลับมาใช้ตลอด ๔ เดือน ที่ดำรงตำแหน่ง เศรษฐกิจก็กระเตื้องแล้วครับ
เพราะมูลค่าเงินในกระเป๋าของประชาชนมันเพิ่มขึ้น จะมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จะเกิดพายุหมุนของแท้ ไม่ใช่พายุหมุนเก๊ของ “พิชัย ชุณหวชิร”
แล้วดูสิครับ ๒ ปีรัฐบาลระบอบทักษิณแก้ปัญหาเศรษฐกิจตรงจุดหรือไม่
แจกเงินหมื่นใช้เงินเป็นแสนๆ ล้าน ได้อะไรกลับมาบ้าง
ไม่มีพายุหมุน
มีแต่รัฐมนตรีผายลม!
ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ก็ไม่ต่างกันหรอกครับหาก พรรคส้มโหวตให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
แค่เอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปตีความก็หมดเวลาแล้ว
“รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”
แค่นี้ก็หมดเวลา ๔ เดือนแล้ว!
ที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ แก้ไขยาก มันมีเหตุผลและที่มาที่ไป
ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตรา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในหมวด ๑๕ การแก้ไขรัฐธรรมนูญระบุความยากเอาไว้
“…โดยที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายที่กำหนดรูปแบบของประเทศและองคาพยพในการบริหารกิจการบ้านเมือง ความสัมพันธ์ขององคาพยพดังกล่าว และที่สำคัญเป็นเสมือนสัญญาประชาคมที่จะยอมให้รัฐมีบทบาทในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้มากน้อยเพียงใดภายใต้เงื่อนไขอย่างใด
แต่แม้จะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ในยามที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือความต้องการของประชาชนเปลี่ยนแปลง ก็อาจมีความจำเป็นต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมได้ ในรัฐธรรมนูญจึงต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้โดยเฉพาะ
ซึ่งตามปกติจะมีวิธีการแก้ไข ใน ๒ ระดับ คือสามารถแก้ไขได้ง่าย หรือแก้ไขได้ยาก ซึ่งตามปกติในนานาประเทศ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้มีการแก้ไขได้ยากกว่าการแก้ไขกฎหมายปกติ แต่แม้กระนั้นระดับความยากก็ยังมีหลายระดับ สุดแต่ภูมิหลังหรือความประสงค์ของประชาชนในขณะที่เกิดรัฐธรรมนูญขึ้น
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้เป็น ๒ ระดับ คือ ระดับที่สำคัญมาก จะกำหนดให้การแก้ไขเป็นไปได้ยากมาก ส่วนระดับที่ไม่มีผลกระทบต่อรูปแบบของรัฐหรือโครงสร้างทางการเมืองมากนัก จะกำหนดให้แก้ไขได้ในระดับที่ยากกว่าปกติ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายเป็นสำคัญ
เหตุที่แยกเป็น ๒ ระดับเช่นนี้ ก็เนื่องจากรัฐธรรมนูญนี้ได้มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีการพัฒนา ปฏิรูปการเมืองให้เป็นไปโดยสุจริต ขจัดการทุจริตคอร์รัปชันให้ลดน้อยหรือหมดไป จึงมีความจำเป็นต้องสร้างกลไกต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้มีการดำเนินการไปสู่ผลสัมฤทธิ์ดังกล่าว
การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจึงกำหนดให้ทำได้ยากมากขึ้นกว่าปกติ โดยกำหนดให้ต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชนก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมจึงจะเกิดผล แต่ในกรณีที่เป็นการแก้ไขบทบัญญัติที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ก็กำหนดให้ทำได้ยากกว่าปกติ เพื่อให้มีการคำนึงถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการป้องกันมิให้ใช้เสียงข้างมาก โดยไม่คำนึงถึงเสียงข้างน้อยอย่างที่เคยปรากฏในอดีต…”
ขณะนี้นักการเมืองบ่นกันใหญ่ว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขยาก แถมคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยังสร้างความยุ่งยากเพิ่มขึ้นอีก
ก็ถูกต้องแล้วครับ รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กางเกงนึกจะแก้ตอนไหนก็แก้.
