ผักกาดหอม
คงจะอยากเห็นความฉิบหาย…
เห็น “ส้ม” ปั่นเนปาลโมเดลแล้ว ได้แต่สะท้อนใจ อยากให้ประเทศกลับเข้าสู่ยุคเผาบ้านเผาเมืองกันอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
การต่อสู้ทางการเมืองมีหลากหลายรูปแบบ
สันติวิธี ก็สามารถไปถึงเป้าหมายได้
ไม่จำเป็นต้องก่อความรุนแรง
ที่จริงบรรดาสาวกสามนิ้ว ด้อมส้ม เคยแสดงอิทธิฤทธิ์แถวๆ สามเหลี่ยมดินแดงยุครัฐบาลลุงตู่มาแล้ว
บรรดาแก๊งทะลุถุงเอาเถิดเจ้าล่ออยู่เป็นเดือนๆ มีพรรคส้มคอยไปประกันตัว
สุดท้ายพอเข้าคุกก็โอดโอยว่าจะไปเรียนหนังสือกันทั้งนั้น
ดู “มหาตมะ คานธี” เป็นตัวอย่าง
เป็นผู้นำที่เอาหลักการต่อต้านโดยสันติวิธีมาใช้ นำพาขบวนการเรียกร้องเอกราชอินเดียจากเจ้าอาณานิคม คืออังกฤษได้สำเร็จ
“คานธี” ใช้วิธี สัตยาเคราะห์ ในการต่อสู้ ซึ่งเป็นการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
มีหลักการสำคัญ ๓ ข้อ คือ ๑.สัตย์ ๒.อหิงสา และ ๓.การดื้อแพ่ง
ไม่จำเป็นต้องเผาบ้านเผาเมือง ปล้นสะดมร้านค้า เหมือนที่เกิดขึ้นในเนปาล หรือแม้แต่อเมริกา
ที่เนปาลกลุ่ม “ม็อบเจน Z” คือพลเมืองที่มีช่วงอายุ ๑๕-๒๗ ปี หรือเกิดระหว่างปี ๒๕๔๐-๒๕๕๒ เป็นหัวเรือใหญ่ในการชุมนุม
แต่เมื่อเรื่องบานปลายกลายเป็นการเผาบ้านเผาเมือง ไร้การควบคุม ก็อ้างว่าถูกมือที่สามแทรก เพื่อสร้างสถานการณ์
จริงๆ แล้วเนปาลคือตัวอย่างของประเทศที่ใช้ประชาธิปไตยบังหน้าเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายกลายเป็นว่า ชนนั้นนำเข้าไปเสวยสุขจากการคอร์รัปชันแทน
โพสต์ของ “รศ. ดร.สุวินัย ภรณวลัย” อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ เรื่อง “ถอดรหัสโมเดลเนปาล: เมื่อไม่มีสถาบันกษัตริย์ กองทัพไร้บทบาท บ้านเมืองอยู่ในเงื้อมมือนักการเมือง ๑๐๐% แล้วเกิดอะไรขึ้น?” เปรียบเทียบ ไทย เนปาล ได้น่าสนใจอย่างมาก
———————
จุดเริ่ม: การโค่นสถาบันกษัตริย์และการปลดกองทัพ
ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ เนปาลก้าวเข้าสู่การเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตย” หลังการล้มเลิกสถาบันกษัตริย์อันยาวนาน และเพียงสองปีถัดมา กองทัพก็ถูกผลักออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง
ความคาดหวังคือ “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ” จะเปิดทางให้เนปาลเจริญก้าวหน้าเหมือนโลกเสรีตะวันตก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
๑๑ ปีในเงื้อมมือนักการเมือง ๑๐๐%
ตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เนปาลอยู่ในมือของนักการเมืองแบบเต็มใบ และผลลัพธ์ที่ปรากฏคือ:
๑.ความไม่เสถียรทางการเมืองเรื้อรัง ภายใน ๓ ปีมีถึง ๑๔ รัฐบาลเปลี่ยนหน้ากันบริหาร → ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำงานได้ต่อเนื่องพอที่จะสร้างนโยบายระยะยาว
๒.ประชานิยมจนหนี้ท่วมหัว
พรรคการเมืองต่างแข่งกันเสนอของแจกเพื่อซื้อเสียง เลือกตั้งทุกครั้งคือการประมูลนโยบายประชานิยม → งบประมาณรั่วไหล หนี้สาธารณะบานปลาย
๓.การฉ้อฉลเชิงโครงสร้าง
ระบบตุลาการถูกผูกติดกับผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อผู้แทนโกงกิน ตุลาการก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะต่างมีฐานเสียงและเครือข่ายเดียวกัน
๔.การล่มสลายของทุนมนุษย์
คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาและภาษา ไม่เห็นอนาคตในประเทศ → หลั่งไหลออกไปทำงานต่างแดน เนปาลจึงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินโอนจากแรงงานมากกว่าการผลิตในประเทศ
การลุกฮือของเจน Z: ไฟที่ไร้ศูนย์กลาง
ปี ๒๕๖๘ การประท้วงใหญ่ระเบิดขึ้น จุดชนวนจากการที่รัฐบาลสั่งปิดแพลตฟอร์มโซเชียลชั่วคราว เพื่อควบคุมข่าวปลอมตามกฎหมายใหม่
ผลลัพธ์คือ เจน Z เนปาล ที่ติดโซเชียลอย่างหนัก ออกมาอาละวาดเกินขอบเขตการประท้วงสันติวิธี: เผารัฐสภา เผาบ้านเมือง จับภรรยานายกรัฐมนตรีเผาทั้งเป็น
ล่าสุดโรงแรมหรูระดับโลกอย่างฮิลตันก็ถูกเผา นักโทษเรือนหมื่นแหกคุกออกมาปล้นสะดม
แม้รัฐบาลลาออกและคืนแพลตฟอร์มแล้ว แต่สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงขึ้น นี่สะท้อนว่าประชาชนรุ่นใหม่ไร้ทั้งศูนย์กลางทางจิตใจ และผู้นำที่มีความชอบธรรม
สังคมที่ไร้หลักยึดเหนี่ยว
เนปาลวันนี้ขาดทุกสิ่งที่เคยทำหน้าที่เป็น ศูนย์รวม: ไม่มีสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นสัญลักษณ์ความต่อเนื่องของชาติ กองทัพถูกทำให้เป็นแค่เครื่องจักร ไม่มีบทบาทเชิงการเมืองหรือเชิงสถาบัน
ศาสนาฮินดูถูกลดบทบาท เพราะถูกมองว่าล้าหลัง รัฐธรรมนูญใหม่กลับสร้างแต่นักการเมืองฉ้อฉล ความเป็นชาติถูกทำให้พร่าเลือน ประชาชนขาดความภาคภูมิใจร่วม
สิ่งที่เหลือคือ ประชาชนที่ถูกปล่อยให้ลอยเคว้งกลางทะเล โดยไม่มีหางเสือ
บทเรียนจากเนปาล
สิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลเป็น “โมเดลกลับด้าน” ของความฝันแบบเสรีนิยม
การเมืองที่ฝากทุกอย่างไว้กับนักการเมือง ๑๐๐% โดยตัดสถาบันกษัตริย์ ตัดกองทัพ ตัดศาสนา ออกไปจากสมการ
ไม่ได้สร้างความเจริญ แต่สร้าง “อนาธิปไตยที่ไร้ศูนย์กลาง” ขึ้นมาแทน
เนปาลกำลังสอนโลกให้เห็นของจริงว่า ประชาธิปไตยที่ไม่มี “แกนกลางยึดเหนี่ยว” จะกลายเป็นมิคสัญญี ที่ไม่มีใครหยุดได้
เปรียบเทียบกับไทย
ในประเทศไทยปัจจุบัน ก็มีความพยายามจากพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่เคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์ เกลียดชังกองทัพ และมุ่งลดบทบาทของสองเสาหลักนี้ลงไปให้หมด
หากไทยเดินซ้ำรอยเนปาลโดยไม่เข้าใจบทเรียน เราอาจได้เห็นผลลัพธ์คล้ายกัน:
การเมืองอยู่ในมือของนักการเมือง ๑๐๐% → เปิดประตูให้การฉ้อฉลเชิงโครงสร้างขยายตัว
ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง → รัฐบาลผันผวน ไม่อาจสร้างยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว
ม็อบไร้ศูนย์กลางทางจิตใจ → เมื่อไฟลุก จะไม่มีใครดับได้
สิ่งที่ทำให้ไทยยังไม่ล่มสลายเช่นเนปาล ก็เพราะเรายังมี “ศูนย์รวมทางจิตใจ” ที่ช่วยค้ำจุนความเป็นชาติ และกองทัพที่ยังทำหน้าที่เป็น “กระดูกสันหลัง” ของรัฐในยามวิกฤต แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเพียงใดก็ตาม
สรุป
ประเทศไม่ต่างจากเรือนร่างมนุษย์:
หากไม่มีหัวใจ (สถาบันพระมหากษัตริย์) → เลือดหล่อเลี้ยงจะหยุดไหล
หากไร้กระดูกสันหลัง (กองทัพ) → ร่างกายจะทรุดพังลง
หากขาดจิตสำนึกร่วม (ศาสนาและวัฒนธรรม) → ร่างกายนี้ก็กลายเป็นเพียงซาก
ประเทศไทยของเรายังมีแกนกลางเหล่านี้คอยยึดเหนี่ยว แม้ถูกท้าทาย กร่อนเซาะ บ่อนทำลายอย่างหนัก แต่ตราบใดที่เรายังรักษาไว้ได้ ไทยก็จะไม่ซ้ำรอยเนปาล
บทเรียนจากเนปาลมิใช่เรื่องไกลตัว แต่คือกระจกที่ส่องให้ไทยเห็นอนาคตที่รออยู่ หากเราปล่อยให้ความเกลียดชัง (ชังชาติ) และความไม่รู้ของประชาชนที่ถูกปั่นถูกเสี้ยม ทำลายแกนกลางของชาติไปทีละเสา…
—–
ครับ…ก่อนที่ด้อมส้มจะเอาอย่างเนปาล ลำดับแรกต้องอ่านหนังสือเยอะๆ อย่าให้ใครจูงจมูกได้ง่าย
ตัวอย่างเกิดขึ้นแล้วที่เนปาล ม็อบเจน Z พลาดแล้วพลาดเลย กลับมาแก้ตัวไม่ได้
จากกลุ่มคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ กลับกลายเป็นกลุ่มคนทำลายชาติจนย่อยยับ
จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย.
