เปลว สีเงิน
ประชาชนกำลังเป็นผู้เปลี่ยนโลก เห็นมั้ย!?
จาก “ประชาธิปไตย” เป็นอำนาจควบคุมโลกและประชาชน
วันนี้ ประชาชน ที่อินโดนีเซีย ที่ฝรั่งเศส ที่เนปาล กระทั่งที่สหรัฐฯ และจะลามต่อๆ กันไป
เมื่อสุดทนกับอธรรม เขาก็ได้กระชากหน้ากากประชาธิปไตย ให้เห็นเนื้อแท้แล้ว ว่า
ประชาธิปไตย คือ…..
ภาพจำแลงของ “ซาตาน” ในคราบ “ผู้เทิดทูนสิทธิมนุษยชน” ที่จะมาบันดาลให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน
พร้อมเสกเป่าความ “อยู่ดี-กินดี” ให้เข้ามาแทนที่ “ความทุกข์ยาก-อดอยาก” ของประชาชน
แต่ผลปรากฎว่า “ซากศพประชาชน” ผู้แร้นแค้นและอดอยากกลับกองพะเนิน
ในขณะที่ผู้ใช้อำนาจอธรรมในคราบประชาธิปไตย พากันเพลิดเพลินอยู่บนกองเงินจากโกงบ้าน-กินเมือง
ประชาชน จากผู้ถูกอำนาจการเมืองอธรรมควบคุม-บังคับ กำลังพลิกกลับเป็น…..
ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจควบคุมและบังคับนักการเมือง!
ไทยเราก็จงตระหนัก…….
“๓ อำนาจหลัก” ของประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรย์ทรงเป็นประมุข คือ
-อำนาจนิติบัญญัติ “รัฐสภา” เป็นผู้ใช้อำนาจ มีหน้าที่ออกกฎหมาย และควบคุมการทำงานฝ่ายบริหาร
-อำนาจบริหาร “รัฐบาล” หรือครม.เป็นผู้ใช้อำนาจ มีหน้าที่ บริหารราชการแผ่นดิน,บังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามบัญญัติ
-อำนาจตุลาการ “ศาล” เป็นผู้ใช้อำนาจ มีหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยอรรถคดี, ตัดสินว่ามีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ หรือมีการตรากฎหมายอย่างถูกต้องตามหลักการหรือไม่
แต่เป็นเรื่องน่ายินดี ในรอบ ๑๐ ปีมานี้
ถ้าท่านสังเกต จะเห็นว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “สถาบันตุลาการ”
รับฟังเสียงประชาชน ลดช่องว่างระหว่างสถาบันกับประชาชน จนมีเสียงพูดจากชาวบ้านทั่วไปว่า
“ในหลวงท่านไม่ถือพระองค์เลย ทั้งไม่ทอดทิ้งประชาชน เกิดทุกข์ยากลำบากกับพสกนิกรที่ไหน โรงครัวพระราชทานมาถึงทันทีพร้อมสิ่งของพระราชทาน”
ทุกวันนี้ คำว่า “เรารักพระเจ้าอยู่หัว….เรารักสมเด็จพระราชินีสุทิดา” อยู่ในลมหายใจของประชาชนคนไทยไปแล้ว
และอย่างสถาบันตุลาการ เพราะท่านรับฟังเสียงประชาชน เมื่อมีเสียงท้วงติงอื้ออึงว่า “ทักษิณไม่ได้ติดคุกจริง” ตามคำตัดสินศาล
ขอให้ศาลนำประเด็น “การบังคับโทษจำคุกทักษิณ ว่าเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่?” มาพิจารณาในประเด็นนี้ใหม่อีกที
ศาลท่านก็บอกว่า เรื่องนี้เป็นที่ปรากฎต่อศาล ท่านจะไต่สวนเอง แล้วก็เรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ แพทย์รพ.ตำรวจ แพทยสภา และผู้เกี่ยวข้องกว่า ๓๐ คนมาไต่สวนในฐานะพยาน
และทักษิณก็ต้องกลับไป “ติดคุกจริง” ๑ ปี ตามคำสั่งศาลฎีกา เพราะจากการไต่สวนพยาน ๓๑ ปาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า
ทักษิณ “ป่วยทิพย์” อยู่ชั้น ๑๔ แทนการ “ติดคุก” จริงๆ!
นี่เป็นครั้งแรก ที่ศาลท่านสดับตรับฟังเสียงประชาชน แต่ไม่ใช่การนำคดีที่ตัดสินแล้วมาพิจารณาใหม่
หากแต่นำเฉพาะประเด็น….
“การบังคับโทษจำคุกทักษิณ ว่าเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่?” มาไต่สวนหาความจริงเป็นการตอบโจทย์ประชาชนเท่านั้น
ก็เหลือแต่ “สถาบันอำนาจบริหาร” คือรัฐบาล และ “สถาบันอำนาจนิติบัญญัติ” คือรัฐสภา
อ้างประชาชน “เพื่อตัวเอง” ในทุกการกระทำ จนอิ่มถึงอ้วก
แต่ไม่เคย “ทำเพื่อประชาชน” ตามอ้างเลยซักครั้ง
ทอดทิ้งประชาชนให้ลำบาก ทุกข์ยากอยู่บนกองหนี้สิน มีแต่น้ำลายลวงให้เลียกินตอนหาเสียงเท่านั้น!
“รัฐบาลและรัฐสภา” ดูตัวอย่างที่อินโดฯ และเนปาลไว้ให้ดีนะ
อ้างแต่ประชาชน แต่ไม่เคยทำอะไรให้ประชาชนได้ “เงยหน้า-อ้าปาก” จริงๆ เลย
อีกสถาบันหนึ่ง ที่ปรับตัวเข้าหาประชาชนและรับฟังเสียงประชาชน คือ “สถาบันกองทัพ”
เห็นชัด ตั้งแต่การปฎิบัติกับทหารเกณฑ์ ผู้บังคับบัญชาปรับทัศนคติ ร่วมทุกข์-ร่วมสุข กับทหารผู้น้อยมากขึ้น
“กองทัพ-ทหาร” ทุกวันนี้ ….
เป็น “แก้วสารพัดนึก” ของประชาชนทั้งชาติ ไม่ว่าน้ำท่วม ไฟไหม้ อุบัติภัย ชาวบ้านยากไร้ มีแต่ทหารกับโรงครัวพระราชทานเท่านั้น เป็นที่พึ่ง
กรณีพิพาทชายแดน “ไทย-เขมร” ขับเน้นให้เห็นว่า กองทัพมีการปรับรูปแบบการสื่อสารถึงประชาชนได้ทันสมัยยุคไอที และให้ความสำคัญกับความคิดเห็นชาวบ้านมากขึ้น
จนตอนนี้ ทหารกับชาวบ้านกลาย “เนื้อเดียวกัน” ไปแล้ว ไม่ว่าลูกเล็ก-เด็กแดง ทั้งหญิงและชาย อยากสมัครเป็นทหาร ด้วยรักบ้าน-หวงประเทศ
เพราะพลโทบุญสิน พาดกลาง และทหารในสนามรบ อุบลฯ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ที่แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้เลือดไทย ว่า
“คนรุ่นใหม่ ยอมให้ตัวตาย แต่ไม่ยอมให้ชาติตาย”!
มันประจักษ์ตา ประทับใจ ความตื้นตันจุกอยู่ในหัวอกคนไทย จนภาพทหารในแนวรบวันนี้ เป็น “ไอดอล” ของหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ไปแล้ว
ไม่เว้นกระทั่งกลุ่ม LGBTQ!
การเปลี่ยนในเชิงพัฒนาการของสังคมชาติของไทยเรา จะเห็นว่าเป็นไปในทางบวก
เมื่อสถาบันอำนาจ ยอมรับฟังประชาชน ประชาชนก็พร้อมเปิดใจรับสถาบันอำนาจและสถาบันกองทัพ นับเป็น “นิมิตหมาย” ในทางมงคลชาติและประชาชน
“ประชาชน” นับเป็น “สถาบันอำนาจ” ที่ ๔ ของสังคมบริหารและปกครองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนไทยและประเทศไทย
เป็นทั้งผู้ตรวจสอบ ๓ สถาบันอำนาจ เป็นทั้งแนวร่วม-แนวป้องกันประเทศ เป็นทั้งพลังหลอมรวมคนไทยที่ไม่ทิ้งกัน มีทุกข์-มีภัยที่ไหน ไทยจะถึงไทยที่นั่น
มันมีการเปลี่ยนแปลงดีๆ หลายอย่างเกิดขึ้นกับสังคมไทยเรา
เพราะเรามัวแต่ไปมุ่งเน้นอยู่กับนักการเมืองเลวๆ คนเลวๆ บางคน จึงไม่ได้มองแบบสำรวจในความเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนร่วมชาติรอบๆตัว
ปัญหา “ไทย-เขมร” โดยเฉพาะเรื่อง “เปิดด่าน” ไม่ใช่แค่รัฐบาลไทยกับรัฐบาลเขมรจะตัดสินใจกันเท่านั้น
ต้องฟังความเห็นชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบการตัดสินใจด้วย โดยเฉพาะชาวบ้านตามชายแดน เพราะเขามีส่วนได้-ส่วนเสีย ระดับ “ตายจริง-เจ็บจริง” โดยตรง
ที่พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ไปประชุม GBC กับเขมร และได้คุยกับพลเอกเตีย เซรย ฮา ปรากฏว่า ทุกอย่าง “ได้หมดสดชื่น”
ทั้งเก็บกู้ระเบิด ทั้งกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ทั้งการถอนกำลังกลับที่ตั้ง เรียกว่า ไทยเอายังไง เขมรยอมหมด นำไปสู่การเปิดด่านชายแดนด้าน “จันทบุรี-ตราด”
พลเอกณัฐพลแถลงตอนหนึ่งว่า….
“ขอชี้แจงว่า ต้นเหตุการเปิดด่าน เกิดจากประเทศที่สาม ไม่ได้เกิดจากไทยและกัมพูชา
เนื่องจากประเทศที่สาม แจ้งมาว่าไทย-กัมพูชาขัดแย้งกัน เขาเกี่ยวอะไรด้วย ทำให้เขาเดือดร้อน เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่เรารับฟัง จึงเป็นที่มาของการหาทางออก ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เห็นด้วย”
ปรากฎว่า เจี๊ยวเลย!
ทั้งหมู่ทหารด้วยกัน ทั้งชาวบ้านชายแดน ประชาชนก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ที่ไม่เห็นด้วยจะมากกว่า
ทุกคนให้ความเห็นไปทางเดียวกันว่า “เขมรเชื่อไม่ได้ อะไรมันก็รับปากหมด แต่มันไม่เคยทำตามที่รับปาก”
คนชายแดนบอกว่า “อย่าไปเชื่อมัน ต้องจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปซะทีเดียวเลย เอาปราสาทตาควายคืนมา มันบอกจะถอนกำลัง แต่มันเสริมทหารมาทุกวัน”
ก็เข้าใจเหตุผลของทุกฝ่าย แต่ผมว่าพลเอกณัฐพลท่านซื่อไปหน่อย ที่บอกว่า “การเปิดด่าน เกิดจากประเทศที่สามบีบ” ก็เลยถูกวิจารณ์อื้อฉาว
พลโทบุญสิน พาดกลาง ท่านไปบรรยายที่ “มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา” เมื่อวาน(๑๑ ก.ย.)มีคนถามเรื่องนี้ ท่านตอบว่า
“เป็นคำถามที่คนไทยอยากทราบ ผมมองว่าคนไทยทำไมต้องมาเถียงเรื่องเปิด-ปิดด่าน เพราะ เรื่องนี้สำคัญ เพราะการเปิด-ปิดด่าน ส่งผลต่อเศรษฐกิจของเขมร
เพราะทรัพยากรสินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย ซึ่งการปิดด่านทำให้คนไทยไม่สามารถไปเล่นการพนันได้ และทำให้คนข้ามไปเป็นสแกมเมอร์ไม่ได้
ต้องยอมรับว่า คนไทยบางส่วน ข้ามไปเขมรเพื่อไปทำหน้าที่หลอกลวงทางโซเชียลมีเดียกับคนไทยด้วยกันเอง
ฝั่งนั้น มีทั้งบ่อนกาสิโน และที่หลอกลวงทางโซเชียลมีเดียตลอดแนวชายแดน
สินค้าบางส่วน เช่นปูนซีเมนต์ น้ำมัน จะกลับมาทำร้ายทหารไทย การทำให้เขาไม่เดือดร้อน รบกับประเทศไทยก็อยู่ได้ เพราะเขามีกินตลอด นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องปิดด่าน
มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดว่า “ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน” พี่น้องที่ค้าขายกระทบ ก็ต้องยอมรับว่ากระทบ
แต่พี่น้องที่ค้าขายบางคนให้สัมภาษณ์ว่าบางท่านยอมให้ปิดด่านขอให้ประเทศไทยรบชนะเท่านั้น
การเปิดด่านทำให้เขาเข้มแข็ง
น้ำมันและปูนซีเมนต์ รวมถึงเครื่องอุปโภค บริโภคก็จะเข้าไป ซึ่งมาจากประเทศไทยทั้งนั้น
“แม่ทัพฯ ถึงบอกเสมอว่าคิดให้ดีเรื่องด่าน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ เล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างนี้ และขอให้พวกเราติดตามข้อมูลข่าวสาร
รัฐบาลก็อาจจะมีเหตุผลของเขา ต้องฟังว่าเป็นอย่างไร ต้องให้เรามีสติในการรับรู้ข่าวสารและช่วยกันดูแลประเทศไทยของเรา หนึ่งเสียงรวมกันก็ไปหลายเสียง นี่คือความเห็นของผม”
ส่วน “พล.อ.มนัส จันดี” เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ท่านลงพื้นที่ยอดภูมะเขือ ศรีสะเกษ ท่านพูดว่า
“…..เขมรเป็นคนเคลื่อนย้ายอาวุธมาก่อน ฉะนั้น ถ้าอยากจะแสดงความจริงใจ แล้วเราไม่เคยรุกราน ถอนกลับไปแค่นั้นแหละ
ถ้าคุยกันรู้เรื่อง แสดงความจริงใจด้วยการถอนกำลังกลับ เราให้คำมั่นว่าเราไม่ไปไล่ติดตามมัน
เราไม่ได้ไปรุกไปอะไรหรอก ก็แค่มันถอนกำลังกลับ ทุกอย่างก็จะอยู่ด้วยความสงบ ก็แค่นั้น แต่ถ้ามันไม่ถอนกำลังกลับ อย่างอื่นก็ไม่ควรจะมาพูดกัน
เปิดด่าน-ปิดด่านอะไรไม่รู้ ไม่มีประโยชน์ ถ้ามันไม่แสดงความจริงใจต่อกัน”
เรื่องนี้ละเอียดอ่อน เราถือ ๙ แต้ม ยื่นเงื่อนไขให้เขมรเขาไปคิดมั่ง ต้องยอมใช้แผนที่ ๑: ๕๐,๐๐๐ ต้องยกเลิก MOU 43, 44 โอเค.มั้ย ถ้าไม่งั้น ก็ไม่ต้องมาคุยกัน
ไม่ใช่เอะอะก็ไปแบหน้าไพ่ให้เขา ไม่เคยเห็นไทยเป็นฝ่ายยื่นเงื่อนไขให้เขมรต้องรับบ้างซักที
เรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่รัฐบาลใหม่เขาดีกว่า
รัฐบาลและนายกฯ รักษาการ ไปเฝ้าถวายงานนายใหญ่ที่คุกคลองเปรมโน่น…ไป๊!
เปลว สีเงิน
๑๒ กันยายน ๒๕๖๘
