หากการแสดงความคิดเห็นคือเส้นเลือดใหญ่ของประชาธิปไตย สิ่งที่พบเจอบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ คือการใช้ศาลเป็นเวทีสกัดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ปรากฏการณ์นี้รู้จักกันในชื่อว่า SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือการฟ้องปิดปาก เพื่อทำให้คู่กรณีหมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน หรือกำลังใจ มากกว่าจะหวังคำพิพากษาชี้ขาดอย่างแท้จริง
จุดร่วมของคดีลักษณะนี้มักชัดเจน ฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าจะใช้เครื่องมือทางกฎหมายข่มคู่ต่อสู้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นนักกิจกรรม ชาวบ้านในท้องถิ่น นักวิชาการ หรือแม้แต่สื่อมวลชน ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น กรณีบริษัทพลังงานรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ที่ฟ้ององค์กรสิ่งแวดล้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังกลุ่มดังกล่าวเผยแพร่รายงานผลกระทบจากโรงงานต่อสุขภาพคนในชุมชน แม้หลายคดีถูกศาลยกฟ้อง แต่กระบวนการก็ทำให้ภาคประชาชนต้องเสียทรัพยากรจำนวนมากเพียงเพื่อยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง
อีกเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในแคนาดา เมื่อผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ยื่นฟ้องนักข่าวท้องถิ่นที่เปิดโปงข้อมูลการเวนคืนที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม สุดท้ายศาลมีคำตัดสินว่าการรายงานข่าวดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่การต่อสู้คดีก็ใช้เวลายาวนานนับปี—เพียงพอที่จะสร้างบรรยากาศหวาดกลัวให้กับผู้สื่อข่าวรายอื่น ๆ
ประเทศไทยเองยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนในการสกัดกั้น SLAPP คดีลักษณะนี้จึงถูกตีความภายใต้กรอบกฎหมายทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหมิ่นประมาท กฎหมายแพ่ง หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญ แม้ภาควิชาการและภาคประชาชนจะผลักดันให้มีกฎหมายป้องกันโดยตรง แต่จนวันนี้ ระบบยังไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพมากพอ
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่การฟ้องร้องทุกครั้งจะเข้าข่าย SLAPP สิ่งที่ต้องพิจารณาคือเจตนาของผู้ฟ้อง ลักษณะข้อเท็จจริง และความสมเหตุสมผลของค่าเสียหายที่เรียกร้อง เพราะหากมีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ บิดเบือน หรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงอย่างแท้จริง การดำเนินคดีในลักษณะนี้ถือเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ไม่ใช่การปิดปาก
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตอาหารรายหนึ่งในญี่ปุ่นตัดสินใจฟ้องผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข้อมูลอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทปนเปื้อนสารพิษ ทั้งที่ผลตรวจสอบยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ศาลเห็นว่าการฟ้องครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องชื่อเสียงและประโยชน์ทางธุรกิจ ไม่ถือว่าเป็น SLAPP เพราะบริษัทถูกละเมิดสิทธิโดยตรง
หรือกรณีในอังกฤษที่บริษัทเทคโนโลยีดำเนินคดีกับบล็อกเกอร์ซึ่งสร้างเรื่องราวใส่ร้ายเกี่ยวกับความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ จนส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานและยอดขาย ศาลชี้ว่าการฟ้องดังกล่าวคือการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบการ ไม่ใช่การพยายามปิดปากสาธารณะ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การแยกแยะอย่างมีสติ ระหว่าง “การปกป้องสิทธิ” กับ “การใช้อำนาจทางกฎหมายปิดปาก” หากเราติดป้ายว่าเป็น SLAPP โดยไม่กลั่นกรอง ย่อมเกิดผลเสียตามมา ทั้งการลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา การทำให้สังคมสับสน หรือแม้แต่ทำให้ผู้ถูกละเมิดสิทธิจริง ๆ ลังเลที่จะใช้กฎหมายปกป้องตนเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นการบั่นทอนหลักนิติธรรมเสียเอง
ยกตัวอย่างกรณีปลาหมอคางดำ ที่ NGO ผู้ถูกฟ้องหมิ่นประมาท เพิ่งโพสต์ FB เมื่อ 8 ก.ย.68 ว่าตนกำลังจะถูกอัยการสั่งฟ้องในวันที่ 10 ก.ย. 68 นี้ นับเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การฟ้องปิดปาก โดยกรณีนี้ใช้เวลาถึงกว่า 1 ปีในการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ก่อนอัยการมีคำสั่งฟ้องออกมาในที่สุด
ในมุมกฎหมาย การจะสรุปว่าคดีใดเป็น SLAPP ต้องมองรอบด้านทั้งบริบททางสังคม แรงจูงใจของคู่ความ พยานหลักฐาน และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง การตีความอย่างเลินเล่ออาจกลายเป็นการปิดกั้นสิทธิของฝ่ายที่ถูกละเมิด ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เรากำลังพยายามป้องกัน
ดังนั้น เสรีภาพในการแสดงความเห็นกับสิทธิในการปกป้องชื่อเสียงจึงต้องเดินคู่กัน การวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและสุจริตใจ ย่อมได้รับการคุ้มครอง แต่หากเป็นการบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน กฎหมายก็มีหน้าที่เข้ามาคุ้มครองผู้เสียหาย
การพูดถึง SLAPP จึงไม่ควรเป็นเพียงการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น หากยังหมายถึงการรักษาสมดุลระหว่างสิทธิของสังคมกับสิทธิของปัจเจกบุคคล เมื่อการใช้สิทธิตั้งอยู่บนความจริงและความรับผิดชอบ มันคือพลังในการตรวจสอบอำนาจที่สร้างสรรค์ แต่เมื่อสิทธินั้นถูกใช้ผิดที่ผิดทาง กฎหมายก็ต้องเป็นกลไกปกป้องผู้ที่ถูกละเมิด นี่แหละคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราแยกออกว่า อะไรคือ SLAPP และอะไรคือการฟ้องร้องโดยสุจริต.