ผักกาดหอม
เริ่มเหมือน “ทักษิณ” เข้าไปทุกที…
หมายถึง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ครับ!
ด้วยลีลาท่าทาง ความคิด ความอยาก เหมือนคลานตามกันมา
“ธนาธร” พูดไว้ตั้งแต่คืนวันศุกร์ ว่า พร้อมที่จะกลับสู่การเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี
“…ผมไม่ได้คิดว่า ผมจะเป็นรัฐมนตรี หรือจะเป็นนายกรัฐมนตรี
นั่นไม่ใช่เป้าหมาย
ผมไม่ได้ตั้งพรรคมา เพื่อส่งใครเป็นมาเป็นรัฐมนตรี แต่สร้างพรรคขึ้นมา เพื่อผลักดันประเทศกลับสู่เส้นทางอธิปไตย ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เจริญก้าวหน้า เท่าทันโลกาภิวัตน์ ให้ลูกหลานเรามีงานที่ดี
ดังนั้น ไม่เกี่ยวที่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ ถ้าวันนั้นเป็นวันที่หมดเวลาการตัดสิทธิ์แล้ว ผมยังมีคุณสมบัติต่อไป มีความรู้ความสามารถที่จำเป็น ผมก็พร้อม
แต่ถ้าตอนนั้น ประเทศไทยเดินหน้าที่ถูกต้องแล้ว ผมไม่มีความจำเป็นทางการเมืองแล้ว ผมก็พร้อมจะหยุดทำงาน อย่าเอาผมไปเป็นประเด็นเลยครับ…”
ก็…ดูเหนียมๆ ครับ แต่สุดท้ายเมื่อคุณสมบัติกลับมาครบก็พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
“ธนาธร” ให้ความสำคัญกับตัวเองมากทีเดียวครับ
ถ้าประเทศเดินหน้าถูกต้องแล้ว ตัวเองก็ไม่มีความจำเป็นเข้าสู่การเมือง
ก็คล้ายที่ “ทักษิณ” ทำอยู่ในขณะนี้
มีความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อประเทศ
คิดว่าประเทศขาดตัวเองไม่ได้ ไม่งั้นไม่มีทางพัฒนาได้
ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า “โรคหลงตัวเอง”
เป็นภาวะทางจิตเวชที่ผู้ป่วยมีความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองในทางที่เกินจริง หลงตัวเอง ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และต้องการการยกย่องจากคนรอบข้างอย่างมาก
อีกอย่างที่เหมือน “ทักษิณ” คือแนวคิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
หน้าอย่าง หลังอย่าง ลงมือทำอีกอย่าง
“…ถ้าตัดอคติ และสิ่งที่ไม่เป็นจริงออก วันที่สร้างพรรคอนาคตใหม่ เราพูดถึงการปฏิรูปกองทัพ และรัฐธรรมนูญ รวมถึงการที่อาจารย์ปิยบุตรพูดในที่สาธารณะ ว่าไม่แก้ ม.๑๑๒ และในวันนั้น ไม่มีการพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ
เพราะทุกฝ่ายโจมตี จนสังคมเชื่อไปแบบนั้นแล้ว หากใครจำไม่ได้ ท้าให้ไปเปิดดูข้อมูลได้ และในสมัยอนาคตใหม่ไม่มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ดัวย
แต่การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันฯ เกิดขึ้นหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งคงต้องไปถามคนที่ทำม็อบว่า ยึดโยงกันมาได้อย่างไร…”
“…ผมคิดว่าไม่มีใครหรอกที่คิดจะล้มสถาบันฯ ทุกคนล้วนต่างปรารถนาดีกับประเทศด้วยกัน และพวกเราพูดเสมอว่า วิธีการที่จะธำรงสถาบันฯ ให้อยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป
คือการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสถาบันฯ ให้อยู่กับยุคสมัย ให้อยู่กับรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย
ดังนั้น ถ้าใครมองว่า ข้อเสนอนี้ radicle แล้วข้อเสนอปฏิรูปที่ไม่ radicle นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร พวกเราตั้งพรรคการเมือง ทำงานการเมืองในสภา ปืนสักกระบอกยังไม่มี แล้วจะเอาอะไรไปทำ…”
จริงหรือครับ?
นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ “ธนาธร” แถลงเปิดตัวพรรค “อนาคตใหม่” (Future Forward Party) ก่อนนำทีมคณะผู้ก่อตั้งพรรค ๒๖ คนยื่นจดแจ้งพรรคต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
มีจุดยืน ม.๑๑๒ ด้วย
“การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ร่วมกับนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ของผม ตั้งอยู่บนหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ ไม่ว่าบุคคลใดต้องไม่นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายล้างศัตรูทางการเมืองของตน
ซึ่งในบทบาทนั้นถือเป็นเกียรติที่ได้ร่วมต่อสู้และมีความภาคภูมิใจที่ได้จัดทำข้อเสนอจำนวนมากบนพื้นฐานประชาธิปไตย
ส่วนถามว่าพรรคอนาคตใหม่จะเอาอย่างไร ผมตอบไม่ได้ เพราะพรรคนี้ไม่ใช่ของผม หรือธนาธร การตัดสินใจเรื่องนโยบายต้องเกิดจากความเห็นร่วมกันของสมาชิก…”
ลีลาเดียวกันครับ
ปฏิเสธว่าพรรคไม่เกี่ยว แต่ตัวเองมีพฤติกรรมชัดเจน ยืนตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่ “ทักษิณ” และ “ธนาธร” ไม่กล้าวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ตรงๆ มีเหตุผลเดียวคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับการคุ้มครองจาก ม.๑๑๒
หาก ม.๑๑๒ ถูกแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการทำให้โทษเบาลง
หรือหากไปถึงขั้น “ยกเลิก” แน่นอนว่า กลุ่มคนที่ต่อต้าน จะโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหนักหน่วง เพราะเป้าหมายคือการยกเลิกสถาบันฯ
เช่นเดียวกับความเห็นของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑
“…ยืนยันว่าการผลักดันการแก้ไขกฎหมายมาตรา ๑๑๒ เป็นการแก้ไขที่จะทำให้ไม่เกิดกรณีมีบุคคลนำมาตรา ๑๑๒ มาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง ป้องกันไม่ให้บุคคลใดแอบอ้างพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายกัน
ทั้งนี้เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคง อย่างทรงพระเกียรติยศ ทันสมัย และสอดคล้องกับประชาธิปไตย
เป็นการกระทำและความเห็นส่วนตน ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ และไม่ใช่นโยบาย และไม่ใช่คำประกาศอุดมการณ์ของพรรค
ขณะที่การนำความคิดเห็นของผมว่าเป็นความคิดพรรคอนาคตใหม่ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อพรรคอนาคตใหม่ พร้อมยืนยันว่าจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค…”
จริงครับยุคเริ่มต้นของพรรคอนาคตใหม่ มีความพยายามที่จะไม่ทำให้ ม.๑๑๒ ไปขัดขวางการเติบโตของพรรค เพราะกระแสสังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
แต่ถามว่าแนวคิดแก้ ม.๑๑๒ อยู่ในสมองของ “ธนาธร-ปิยบุตร” หรือไม่
คำตอบก็คือ หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เคลื่อนไหวแก้ ม.๑๑๒ มาก่อนแล้ว
และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ เปลี่ยนชื่อพรรคเป็นก้าวไกล
ความร้อนแรงในการแก้ไข รวมไปถึงการยกเลิกม.๑๑๒ ขึ้นไปถึงขีดสุด
ทั้ง “ธนาธร-ปิยบุตร” มีส่วนร่วมอย่างชัดเจน ในการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไข ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกล และมวลชน ๓ นิ้ว
เกิดปรากฏการณ์บนเวทีปราศรัยมากมาย จนนำไปสู่จุดจบของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล
การที่ “ธนาธร” กล่าวโทษ “คนทำม็อบ” ว่าเป็นผู้นำเข้า ม.๑๑๒ เป็นเรื่องไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
เพราะขณะที่เกิดม็อบและเยาวชนถูกจับกุม “ธนาธร” คือหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ และมีอิทธิพลอย่างสูง ที่ทำให้สส.พรรคก้าวไกล ไล่ตามประกันตัว ผู้ต้องหาคดี ม.๑๑๒
วันนี้ “ธนาธร” พยายามผลัก ม.๑๑๒ ออกจากตัว คล้ายๆ กับ “ทักษิณ” ที่ชี้นำสังคมว่าคดี ม.๑๑๒ ที่ตัวเองเป็นจำเลยนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรเลย
ในศาลมีพยานให้การว่า “ทักษิณ” มีความเทิดทูนสถาบันฯ
ขณะที่ “ฮุน เซน” ศัตรูตัวฉกาจของ “ทักษิณ” ยืนยันว่า “ทักษิณ” มิได้มีความจงรักภักดีแต่อย่างใด และเคยวิจารณ์ทั้ง ร.๙ และ ร.๑๐ ให้ฟัง
“ธนาธร” เริ่มวางที่ทางทางการเมืองให้พรรคส้ม เพราะเริ่มเห็นทางตันหากไม่ประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษนิยม เช่นเดียวกับ “ทักษิณ” ที่พยายามทำตัวเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม
นี่คือบทพิสูจน์ การเมืองที่มุ่ง “ล้มล้าง” ถึงทางตันแล้ว.
