“โควิด-๑๙” นี่ มันก็ดีนะ
น่าขอบคุณมากกว่าแช่งด่าด้วยซ้ำ ผมว่างั้น
คิดดูสิ …….
ถ้าโควิดไม่มา โลกที่กำลังถูกแก๊งจักรวรรดินิยมอำนาจตะวันตก “ยุโรป-สหรัฐฯ” บีบคั้น กลั่นแกล้ง รังแก สารพัด
ใครจะเตะตัดขา ให้มันหน้าคว่ำได้?“สังคมมนุษย์” เป็นสังคมมีค่าทางจิตใจ “เหนือสัตว์” ผ่านขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม
มีเลว มีดี มีความละอาย มีความยับยั้งชั่งใจ มีเมตตา-เผื่อแผ่ ประดับเป็นอาภรณ์
แต่ ณ ปัจจุบัน นับวัน มนุษย์ “คืนสภาพสัตว์”…….
ด้วยสังคมจิตใจถูก ระบบ “อำนาจทุน” เครือข่ายจักรวรรดินิยมตะวันตก สร้าง “สังคมวัตถุ” เข้ามาแทนที่
สังคมโลกทุกวันนี้ จึงเร่าร้อน สับสน วุ่นวาย กระหายหื่น รุกราน กดข่ม รังแก ช่วงชิง ฆ่าแกงกัน
และสถาปนาคำว่า โลกไร้พรมแดน, เสรีภาพ, มนุษย์ทุกคน จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ กำหนดค่าขึ้นใช้แทน
แทนคำสอน พ่อแม่, บัญญัติพระเจ้า, กฎฟ้า-กฏดิน คือธรรมชาติ กฎมนุษย์ คือ ศีลและธรรม
ถามว่า……..
ศตวรรษที่ ๒๑ ที่เราไม่ไปก็ต้องไปนั้น
ถ้าสังคมโลกยังอยู่ใต้เงาจักรวรรดิตะวันตกขับเคลื่อนกลไก “สังคมวัตถุ” เข้ามาครอบงำแทน “สังคมจิตใจ” อย่างที่เป็น
ศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งพลโลกอยู่ในสภาพ “มนุษย์วัตถุ” มันจะอยู่ในสภาพไหนกันหนอ?
ไม่ต้องเดาและไม่ต้องดูอื่นไกล
ดู “สังคมไทย” วันนี้ ก็พออนุมานถึงได้!
“มนุษย์วัตถุ” มันไม่ดียังไง มันเป็นสภาพไหน บางคนอาจนึกไม่ออก หลับตาไม่เห็นภาพ
คนเถื่อน คนวิปลาสทั้งคิด-ทั้งทำ อย่างเห็นในสภาบางคน และอย่าง ผีดิบ หรือ ซอมบี้ นั่นแหละ
พวก “มนุษย์วัตถุ”
แบบนั้น สังคมโลกศตวรรษที่ ๒๑ ก็ไม่น่าอยู่ ไม่น่ารื่นรมย์ จริงมั้ย?
ใครที่รีบตายเพื่อรีบไปเกิดเป็นคนศตวรรษที่ ๒๑ ตอนนี้ ยังไม่สายที่จะคิดใหม่
“คิดใหม่” คิดได้ทุกคน ไม่เกี่ยว “รุ่นใหม่-รุ่นเก่า”!
เนี่ย……
จู่ๆ โควิด-๑๙ ก็เป็น “ยมทูตใต้พิภพ” ปรากฏเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเข้ามาอาศัยร่างกายมนุษย์สร้างและแพร่ขยายเผ่าพันธุ์
สงครามโลกใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะสยบกันได้
แต่โควิด ใช้เวลาแค่นาที-ชั่วโมง
“สยบโลก-ดับอหังการ” ทั้งโลก ณ นาทีนี้ ถ้าตะโกนถาม ใครใหญ่สุดในปฐพี?
ทั้งจีน รัสเซีย อาหรับ ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐฯ ครางฮือๆจับความเข้าเครื่องแปลภาษาได้ว่า
“โควิด-๑๙ ใหญ่สุดในปฐพี”!
ศตวรรษที่ ๒๑ แผ่นดินแห้งแล้งจากมนุษย์โค่นถาง จะพลิกฟื้น พืชพันธุ์ คืนสู่ความงอกงาม
โควิดจัดสรรให้ทุกตารางดินอุดมบ่มเพาะด้วยปุ๋ยสดซากศพถมทับ
ที่มองไม่เห็นแต่ก่อนๆว่า อหังการมนุษย์วันนี้ ใครจะมาดับ?
ตอนนี้ก็เห็นแล้ว……..
สูงสุด คืนสู่สามัญ ฉันใด
รวย, รุกราน, ร่าน, กระสัน, กร้าน, ดิบ, อำนาจ, กระจอก ของมนุษย์ ก็คืนสู่ว่างเปล่าเสมอหน้า ฉันนั้น
จะว่าไปแล้ว โควิด ก็คือ “เครื่องมือ” ที่ธรรมชาติส่งมาจัดสรรมนุษย์พันธุ์บาป เหลิงและหลง
“ธรรมชาติเอาคืน-คืนสู่ธรรมชาติ”
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ! อย่างผู้ว่ากทม. ประกาศเมื่อวาน หลังจากประกาศปิดห้าง ปิดร้านอาหารไปก่อนหน้า คือเมื่อ ๒๑ มีค.
จาก ๒ ยามคืนที่ ๑ ต่อเนื่องวันที่ ๒ เมย.นี้เป็นต้นไป ก็กระชับพื้นที่กทม. เป็นการปรับวิถีชีวิตคนกรุงเข้าไปอีกชั้น
ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น แฟมิลี่มาร์ท หรือร้านลักษณะเดียวกัน เช่น ร้านโชห่วย ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งในและนอกห้างร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ทั้งในคูหา รถเข็น แผงลอย
ให้เปิดได้ จากช่วงเวลา ๐๕.๐๐-๒๔.๐๐ น.เท่านั้น หมายความว่า ตั้งแต่ ๒ ยาม ถึงตี ๕ “ห้ามซื้อ-ห้ามขาย”
อย่าง 7-11 ไม่มี ทั้งหมด มีแต่ 5-12!
บางคนตกใจ อุทาน แล้วจะไปกิน ไปซื้ออะไรที่ไหน?
นี่ก็สะท้อนชัด โควิด กำลังดัดนิสัย สร้างวินัยให้มนุษย์ ผ่านมาตรการต่างๆ อันตรงข้ามกับพฤติกรรมเคยชินหลายๆ อย่างไปตามลำดับ
มาตรการ ๒ ยามถึงตี ๕
เป็นการปรับเชิงบังคับวิถีและพฤติกรรมการกินของคนไทยไปขั้น
อะไรๆ ก็พักได้ ……
แต่การกินสำหรับคนไทย พักไม่ได้ ต้องกินตามอยาก การกิน ๒๔ ชั่วโมง มันเป็นวัฒนธรรมคนไทยไปแล้ว!
ความจริง มาตรการนี้ก็ไม่ได้ฝืนอะไร ช่วยลดอ้วน-ลดตามใจปากจนเคยตัวด้วยซ้ำ
ตะก่อน ก็ไม่ได้กินและมีให้กิน ๒๔ ชั่วโมงแบบนี้ ๒ ยามก็ “หลับทั้งเมือง”
ระยะหลัง นับจาก จีไอ.เข้ามาตั้งฐานทัพในไทยนั่นแหละ ก็เกิดศัพท์ว่า “กรุงเทพฯไม่เคยหลับ” ขึ้น
บ้านอื่น-เมืองอื่น ก็ไม่มีนะ ที่จะกินกัน ๒๔ ชั่วโมง สมัยหนุ่มน้อย ไปอเมริกา ถึงดินเนอร์ เขาก็จะพาไป ก็ไม่ไป กะว่าซัก ๓-๔ ทุ่มค่อยไปหาร้านกิน
ปรากฏว่า “อด”
๓-๔ ทุ่ม ออกไป เขาปิดร้าน-ปิดเมืองกันเงียบ!
ตอนนี้ เห็นปฏิทินป่วยรายวัน คงสถิติวันละร้อยขึ้น หลายคนชักใจไม่ดี ชักเรียกร้องยาแรง ประเภทเคอร์ฟิวส์
ไม่มีประโยชน์หรอกครับ…….
เพราะไม่ใช่สงครามมนุษย์ มันเป็นสงครามเชื้อโรค โควิดมันไม่ติดเคอร์ฟิวส์หรอก ไปได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงอยู่แล้ว
มาตรการที่รัฐบาลใช้ตามเหตุ-ตามผล และให้แต่ละจังหวัดประกาศใช้มาตรการหนัก-เบาได้ตามสถานการณ์นั้น
ถูกต้องแล้ว…..
ไม่เกี่ยวกับคำว่า จะเอาเศรษฐกิจหรือเอาชีวิตคน มันเป็นตรรกะคนละฐาน เอามาเปรียบแบบนั้นไม่ได้
ภาพรวมทั้งประเทศ ภาพ “สนามบินร้าง” นั่นคือคำตอบว่า “ไทย-ไม่ปิดประเทศ” ทางจิตวิทยา
แต่ในทางปฏิบัติ “ไทย-ไม่เปิดประเทศ” มาตั้งนานแล้ว!
คนไทยเราก็งี้แหละ
ถ้าเปรี้ยง…ปิด ก็จะร้องให้เปิด, ถ้าเปิด ก็จะร้องให้ปิด!
รัฐบาลก็เลยเอาใจทุกฝ่าย ปิดแบบเปิด และเปิดแบบปิด
ก็เลยถูกใจทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายปิดและเปิด ต่างมีมุมให้ต่างฝ่ายต่างด่า ไม่มีใครได้หน้า-เสียหน้ากัน ดีออก!
ดูสถิติป่วยแล้ว ผมก็แอบเบาใจ
วางไว้เลย ด้วยสถิติ ๑๐ วัน ๑,๐๐๐ สิ้นเมษา.เราก็อาจได้ตัวเลขป่วยไม่หนี ๕,๐๐๐ ขึ้น
ถ้าทุกคน “ตื่นตัว” และกลั้นใจฝืนนิสัยชินตัวเอง ร่วมมือตามมาตรการต่างๆ ของรัฐ-ของหมอ
เอ้า…ตัวเลข “มักมาก” ถึงพฤษา.ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐
แค่นี้ “จบ” สำหรับไทยเรา
และ “จบจริงๆ” สำหรับโควิด!
ในเมื่อ “จากนอก” เข้ามายากและไม่มีเข้ามา ข้างใน ก็เอาอยู่ หัวเมืองต่างจังหวัด ผู้ว่าฯ แต่ละเมือง ก็ขะมักเขม้นแข่งขันฝีมือ
ถ้าคุมขบวน “เคลื่อนย้าย” สงกรานต์ได้ โควิดมันจะไปไหนรอด ชักแหง็กๆ ไปเท่านั้น
ที่พูดนี่ ไม่ใช่ลมเพ-ลมพัด คือผมดู “ที่มา” ของผู้ป่วยวันละร้อย มันบอกทิศทางเช่นนั้น
ที่ป่วยขณะนี้ เป็นดอก-เป็นผล ของเชื้อเดิม จากเชื้อเติมใหม่ แทบไม่มี
ดังนั้น เมื่อของเดิม “บานทะโรค” เต็มที่แล้ว หมดเชื้อ-หมดเกษรเข้ามาเติมให้ตูม จำนวนคนติดเชื้อก็จะค่อยๆลดจำนวนลง
อย่าคิดอะไรมาก ผมจะให้ดูตัวเลขในทางเจริญสติ เป็นสถิติอุบัติเหตุช่วงกรานต์ ปี ๖๒
“๑๑-๑๕ เมย.” รวม ๕ วัน ปรากฏว่า ตาย ๒๙๗ บาดเจ็บ ๒,๘๐๗ ราย
เฉพาะ ๑๕ เมย.วันเดียว ตาย ๕๔ ราย!
แล้วมาดูสถิติโควิดบ้าง จากกุมภา.-มีนา.ตีซะว่า ๒ เดือนเต็ม ถึงวันที่ ๑ เมษา.๖๓
ป่วยสะสม ๑,๗๗๑ ราย เสียชีวิต ๑๒ ราย
เฉพาะเมื่อวาน (๑ เมย.) วันเดียว ป่วยแค่ ๑๒๐ ราย!
ตรรกะคนละฐานก็จริง เพียงอยากให้ดูตัวเลขเป็นมุมสะท้อนด้านความยาก-ง่ายในการรับมือระหว่างรถกับโรค
ผมมองว่า ตัวเลขป่วยขณะนี้ ถึงไม่น่าพอใจ แต่ไม่น่าหนักใจ
พวกเรา-ประชาชน ฝืนนิสัยเคยชินกันอีกซักอึดใจพระพุทธ
มั่นใจได้ ทุกข์สั้น แต่สุข จะยาว.