วิบากกรรม ‘พ่อ-ลูก’ #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

นั่นไง…

ตั้งรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย หากรายชื่อที่เสนอตั้งเป็นรัฐมนตรี เต็มไปด้วยผู้มีมลทิน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ของอดีต สว.สมชาย แสวงการ อินไซด์ข้อมูลจากองค์กรตรวจสอบ อ่านแล้วขนลุกซู่!

“….ข่าวดี!

ครม.อิ๊งค์ ๑ ตรวจละเอียดยิบ รมต.ต้องสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ข่าวลืออื้ออึงว่า ติดปมตั้ง ๑๑

ทั้งคดีใน ป.ป.ช. อัยการ ศาล ฯลฯ จะกล้าลุยตั้งก่อน ไปตายเอาดาบหน้า?

#นักการเมืองดีหายากนักหรือไง…”

คณะรัฐมนตรีมี ๓๖ คน

ทำท่าจะไม่ผ่านถึง ๑๑ คน

เกือบ ๑ ใน ๓ ถือว่ามากอย่างน่าตกใจ

แต่ก็พอมีช่องให้สามารถตั้งรัฐบาลได้

รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า

“…ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้…”

ฉะนั้นรายชื่อรัฐมนตรีที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีคดี ในป.ป.ช. อัยการ ศาล ก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

แต่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือเปล่าก็ไปวัดกัน

กรณี “พิชิต ชื่นบาน” นั้นชัดเจนตรงที่ติดคุกเพราะคำสั่งศาล มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขาดจริยธรรม จนสภาทนายความถอดชื่อจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ

กรณีนี้ถือว่าชัดเจน

แต่คดีที่ผู้มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหา ศาลยังมิได้มีคำพิพากษา อาจต้องสร้างบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่ว่าจะจัดการกับกรณีนี้เช่นไร

อย่างไรเสียรัฐบาลต้องตั้งให้เสร็จช่วงกลางเดือนนี้ และแถลงนโยบายรัฐบาลไม่เกินสิ้นเดือน หากเลยกำหนดไป โครงการแจกเงินหมื่นล็อตแรก มีปัญหาทันที เพราะเป็นงบเพิ่มเติมของปีงบประมาณ ๒๕๖๗

ใช้ไม่ทันเดือนกันยายน ๑.๒๒ แสนล้านบาทเป็นเพียงเศษกระดาษ

เขย่าขวัญ ปั่นประสาท กันพอสมควร หากรีบตั้งรัฐมนตรีแล้วมีปัญหาทีหลัง นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ก็ไม่รอด รัฐบาลไม่ได้ไปต่อ

แต่หากตั้งช้า มีโอกาสวืด! แจกเงินหมื่นไม่ทัน

ฉะนั้นนับจากวันนี้ไป ๑ เดือนเต็ม ทุกวินาทีมีค่าสำหรับการตั้งรัฐบาลระบอบทักษิณ

ในภาพรวมนี่คือเรื่องของ “ลูก”

ส่วนเรื่องของ “พ่อ” ก็เริ่มมาหนาหู ทำท่าจะตกชั้น ๑๔

เบื้องแรกอาจต้องมีคนติดคุกแทน

จากโพสต์ของ “ชูชาติ ศรีแสง” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดูทรงแล้วมันมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“…ผมเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ ว่าบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาและผู้ที่มีส่วนในการรับตัวนายทักษิณไว้รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ มีโอกาสที่จะต้องเข้าไปนอนในเรือนจำแทนนายทักษิณ

…..ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ดำเนินการไต่สวนแล้วมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำการไต่สวนเพื่อดำเนินคดีแก่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์และข้าราชการโรงพยาบาลตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการที่ให้นายทักษิณพักอาศัยอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้พักโทษและให้นายทักษิณกลับไปอยู่บ้านของตนเองได้ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

…..เหตุการณ์ดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้นอีก เมื่อพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ออกมาเปิดเผยว่า เคยไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ๒ ครั้ง จึงรู้ดีว่านายทักษิณป่วยดังที่กรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจอ้างหรือไม่

…..เรื่องนี้ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช.รีบดำเนินการไต่สวนไปตามอำนาจหน้าที่ ไม่แกล้งปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ อีกไม่นานคงจะได้เห็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้นับสิบคนที่ยอมเสี่ยงกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือนายทักษิณให้ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

……แต่กลุ่มบุคคลเหล่านี้คงต้องเข้าไปกิน อยู่ หลับนอนในเรือนจำแทนนายทักษิณ ชินวัตร แน่นอน!!!…”

และอย่าลืมนะครับว่าก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)​ ก็ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับ นักโทษเทวดาชั้น ๑๔ เช่นกัน

“…กรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ อนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวเป็นระยะเวลานาน เห็นว่า แม้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง กสม.ไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของนายทักษิณ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างถึงข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย

แต่หากนายทักษิณมีอาการป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตสลับปกติจริงตามอ้าง ก็ควรได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด และพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน

ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า เมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ. ๖๗ ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณสามารถออกจากการควบคุมของเรือนจำตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของกรมราชทัณฑ์ นายทักษิณสามารถเดินทางกลับบ้านพักส่วนตัวได้ในทันที โดยไม่พบว่าต้องเข้าไปรับการรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก

รวมทั้งสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรง อันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง ซึ่งใช้เป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด

ด้วยเหตุนี้ จึงยังมิอาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงขนาดที่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึง ๑๘๑ วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่เรือนจำได้

ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม อันถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน

การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องยังเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งอยู่ในหน้าที่และอำนาจตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

โดยได้ทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับเรื่องในประเด็นนี้ไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการ กสม.จึงมีมติให้ส่งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป…”

“ไม่มีอาชญากรรมใดที่สมบูรณ์แบบ คนร้ายย่อมทิ้งร่องรอยในที่เกิดเหตุเสมอ”

“เชอร์ล็อก โฮล์มส์” นั่งยันนอนยันว่า มันเป็นเช่นนั้น

ก็…. “ทักษิณ” เองนั่นแหละครับที่ทิ้งหลักฐานเอาไว้มากมาย

สืบจากตัว “ทักษิณ” ก็จบเห่แล้ว

แถมหลายคดีด้วย

ทั้งป่วยทิพย์

ครอบครองรัฐบาล บานไปสู่การยุบหลายพรรคทีเดียว

คุกหลายปีอยู่นะ

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from pp
ไทยเบฟ ได้รับคะแนนสูงสุด DJSI อุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ”) ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครื่องดื่มครบวงจรที่มั่นคงและยั่งยืน ของภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader)...
Read More
0 replies on “วิบากกรรม ‘พ่อ-ลูก’ #ผักกาดหอม”