เปลว สีเงิน
ตกลง……….
“พรรคก้าวไกล” สวม “ปลอกคอไอ้กัน” หรืออย่างไรกันแน่?
พรรคถูกยุบเท่านั้นแหละ
คนที่เดือดร้อนจะเป็นจะตาย แทนที่จะเป็นธนาธร “นายทุนเงินกู้พรรค”
แต่กลับเป็น “สหรัฐอเมริกา” พล่านออกมาทั้งตัวลูกพี่ทั้งองค์กรรับใช้อย่างยูเอ็น จนน่าสงสัย ว่า
“ก้าวไกลกับไอ้กัน” น่าจะมีอะไรทางการเมืองมากกว่าคำว่าเพื่อ “ประชาธิปไตย” ที่ยกอ้างบังหน้า
เพราะเท่าที่สังเกต ทุกครั้งที่ก้าวไกลพลาดในการเดินเกมกัดกร่อนบ่อนเซาะ ทั้งในทางกฎหมายและในถนน สหรัฐฯ จะต้องแสดงตนประหนึ่งเจ้าของคอก โดดก๋าออกมาพิทักษ์ “หมาของข้า..ใครอย่าแตะ” ทันที!
อย่างศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อ ๗ สิงหา.เหมือนกัน
“กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ” ออกแถลงการณ์ปกป้องแก๊งกัดกร่อนบ่อนเซาะ ผ่านสถานทูตสหรัฐฯ ในไทยทันที
……………………………..
แถลงการณ์ โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ “แมทธิว มิลเลอร์”
๗ สิงหาคม ๒๕๖๗
กรณีการยุบพรรคก้าวไกลในประเทศไทย
สหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยในวันนี้
ซึ่งมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองของแกนนำพรรค ๑๑ คน
คำตัดสินนี้ ลิดรอนสิทธิ์ของชาวไทยกว่า ๑๔ ล้านคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค.๖๖
และทำให้เกิดคำถามว่า พวกเขาสามารถเลือกผู้แทนของตนในระบบการเลือกตั้งของไทยได้หรือไม่?
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญยังเสี่ยงต่อการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตยของไทย
และขัดกับความปรารถนาของชาวไทยต่ออนาคตที่มั่นคงและเป็นประชาธิปไตยมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนโดยทั่วถึง เสริมสร้างความสมานฉันท์ในสังคม และเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาบันระดับชาติที่เข้มแข็ง
สหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใด
แต่ในฐานะพันธมิตรและมิตรใกล้ชิดที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นยาวนาน
เราเรียกร้องให้ไทยดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง
และเพื่อปกป้องประชาธิปไตยรวมถึงเสรีภาพในการสมาคมและการแสดงออก
……………………………….
ถามกันทีละประเด็นเลยนะ
๑.มันกงการอะไรที่สหรัฐฯต้องแส่มากังวลกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไทยที่มีกับพรรคการเมืองใต้กฎหมายไทย?
การยุบพรรค ตัดสิทธิ ๑๑ กก.บห.เป็นไปตามตัวบทกฎหมายไทยที่ใช้กับทุกพรรคที่ฝ่าฝืน
คุณอย่ามั่ว อ้างยุบพรรคว่าเป็นการลิดรอนสิทธิคน ๑๔ ล้านที่เลือกก้าวไกล มันคนละประเด็นกัน
พรรคก้าวไกล “ยอมรับ-รับรู้” รัฐธรรมนูญและกฎหมายอันเป็น “กติกาประชาธิปไตย” ทุกอย่าง จึงลงสมัครรับเลือกตั้ง
คน ๑๔ ล้านเลือกก้าวไกลเข้าสภาไปทำหน้าที่ตามกรอบกฎกติกากฎหมาย
เขาไม่ได้เลือกให้เข้าไปแก้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ให้คนหมิ่นพระมหากษัตริย์ อย่างที่ก้าวไกลเข้าไปทำ
มาตรา ๑๑๒ อยู่ในหมวดความมั่นคง แก้ตามใจชอบไม่ได้ ถ้าจะแก้ ต้องแก้ตามช่องที่กฎหมายกำหนดให้เดิน
แต่ที่ก้าวไกลเสนอแก้ ไม่ต่างยกเลิกมาตรา ๑๑๒ แล้วเขียนใหม่ ย้ายหมวด ลดสถานะพระมหากษัตริย์ลงไปอยู่ในสถานะประชาชนทั่วไป
ใครจะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ทำได้ทั้งนั้น
เพราะตามร่างกฎหมายที่ ๔๔ สส.ก้าวไกลลงชื่อเสนอเข้าสภาเขียนให้ยกเว้นโทษได้, ยกเว้นความผิดได้, ยอมความได้, มีโทษก็แค่ปรับ!!!
เท่ากับ ใครอยากหมิ่น-อยากด่าสถาบัน ยอมเสียค่าปรับนิดหน่อย ก็ด่าและหยามหมิ่นเล่นได้ตามใจชอบ
ซ้ำร้ายกว่านั้น….
ประชาชนหรือรัฐจะไปร้องทุกข์กล่าวโทษดังทุกวันนี้ก็ไม่ได้ ต้องให้ “สำนักพระราชวัง” หน่วยงานเดียวเท่านั้น เป็นผู้ร้องทุกข์
นี่ไม่ใช่ลดสถานะพระมหากษัตริย์ลงมาเท่าประชาชนเท่านั้น หากแต่ลดลงไปต่ำสิทธิกว่าประชาชนด้วยซ้ำ
เพราะประชาชนยังมีสิทธิ์ป้องกันเกียรติยศตัวเองด้วยการฟ้องร้องคนที่มาหมิ่นหยามเหยียดได้
แต่พระมหากษัตริย์ถูก “ตัดสิทธิ” นั้น ให้เพียงสำนักพระราชวังเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิ!
อีกมุมหนึ่ง กฎหมายก้าวไกล….
นอกจากลดสถานะพระมหากษัตริย์ เพื่อจะได้จ้วงจาบหยาบช้ากันสนุกสนาน เป็นการกัดกร่อนบ่อนเซาะให้เสื่อมลงเรื่อยๆ ตามหลักจิตวิทยาแล้ว
การให้ “สำนักพระราชวัง” เท่านั้น เป็นผู้ร้องทุกข์ได้
นั่นเท่ากับผลักพระมหากษัตริย์ลงไปเป็น “คู่ขัดแย้ง-คู่กรณี” ไปทะเลาะ ไปเป็นคู่ปฎิปักษ์กับประชาชนโดยตรง
นี่คือการ “กัดกร่อนบ่อนเซาะ” สถาบันลึกลงไป ให้เสื่อมลงตามลำดับ เพื่อง่ายต่อการ “ล้มล้างทำลาย” ในขั้นตอนสุดท้ายดีๆ นี่เอง
ในเมื่อพระมหากษัตริย์เท่ากับชาวบ้านคนหนึ่ง นานไปก็เสื่อมคุณค่าในความเป็น “องค์พระประมุข” โดยปริยาย
เพราะอย่างนี้ รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน จึงมีบัญญัติไว้ในมาตรา ๖ ว่า
“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
ดังนั้น ร่างกฎหมายที่ ๔๔ สส.ก้าวไกลลงชื่อแก้ไขมาตรา ๑๑๒ จึงขัดต่อกฎหมายแม่บท ซึ่งตอนนี้ มีผู้ไปยื่นเรื่องต่อปปช.แล้ว
ที่ผมอธิบายคร่าวๆ นี่ หวังว่า………
“โฆษกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ” คงไม่ใช่สากกระเบือ จนไม่เข้าใจนะ ว่าเพราะเหตุใด ศาลรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องยุบพรรคให้เป็นตามกฎหมายบัญญัติ
และไม่ต้องห่วงหรอกว่า ๑๔ ล้านคนจะเลือกผู้แทนของเขาในระบบเลือกตั้งได้อีกหรือไม่
ห่วงแต่เลือกตั้งประธานาธิบดีในบ้านคุณเถอะ เพราะคนไทยเข้าใจคำว่า “เหตุ” และ “ผล”
การยุบพรรคเป็น “ผล” และผลนี้มาจาก “เหตุ” คือ ก้าวไกลแก้มาตรา ๑๑๒ ด้วยการย้ายออกจากหมวดความมั่นคง
แล้วเขียนใหม่ให้กัดกร่อนบ่อนเซาะสถาบันสู่การทำลายล้าง อันผิดหลักการ ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ไทยเคร่งครัดในกฎหมาย และตัดสินด้วยกฎหมาย ไม่เหมือนประชาธิปไตยสหรัฐฯบ้านคุณ ที่ตัดสินด้วยลูกปืน
ทรัมป์เพิ่งโดนไปหยกๆ ….
แล้วมองย้อนหลังไป กี่ประธานาธิบดีล่ะ ที่เสรีประธิปไตยบ้านคุณ มันเบ่งบานด้วยลูกปืน เจาะกบาลประธานาธิบดี?!
เมืองไทยบ้านผม ก็ประชาธิปไตยแบบๆไทย ไม่ป่าเถื่อนเหมือนประชาธิปไตยเต็มใบบ้านคุณ
ฉะนั้น ถ้าคุณจะกังวล กังวลประชาธิปไตยป่าเถื่อนในบ้านคุณเถอะ ไม่ต้องเสือกกระโหลกมากังวลบ้านผมหรอก
๒.คุณบอก “สหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใด”
โถ…มิลเลอร์เอ้ยยย!
ถ้าตับไม่แก่ ตุ๊กแกมันก็ไม่ร้อง คุณมันก็พันธุ์ตุ๊กแก เพราะก้าวไกล “มือตีน” พวกคุณหรอก จึงออกมาร้อง
และที่ออกมา เท่ากับประจานหน้าตัวเอง “สหรัฐหัวหน้าคอกหมา” ในเมืองไทยคอกหนึ่ง….เจ้าข้าเอ้ยยยย!
ถ้าไม่สนับสนุนพรรคใด มิลเลอร์ รู้มั้ย…เอาเฉพาะตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ ลงมา มีพรรคการเมืองไทยถูกยุบไปกี่พรรค?
ถ้าไม่นับอนาคตใหม่กับก้าวไกล “ขี้ในไส้” ของคุณ ก็ยังมีอีก ๓ พรรค คือเพื่อประชาชนไทย, ไทยรักษาชาติ และพรรคไทรักธรรม
เมื่อบอกว่าไม่สนับสนุนพรรคใดเป็นการเฉพาะ ที่ ๓ พรรคถูกยุบ โฆษกฯ ไปอมสากอยู่ไหน ทำไมไม่แถลงการณ์เหมือนตอนอนาคตใหม่-ก้าวไกลถูกยุบล่ะ?
๓.สหรัฐอ้างความเป็นมิตร อ้างปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ
มิตรอย่างคุณน่ะ มัน “มิตรหาประโยชน์” อ้างเพื่อปกป้องประชาธิปไตย, เสรีภาพ ขอโทษ…ขอยักไหล่ ยิ้มหยัน
สมัยรัฐบาล “สฤษดิ์-จอมพลถนอม” เผด็จการชัดๆ แต่เพราะอยู่ในโอวาทสหรัฐฯ ยกประเทศให้เป็นฐานทัพไอ้กันไปรบเวียดนามเป็นสิบๆ ปี
แล้วคุณเคยพูดซักคำมั้ย ว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ไทยไม่มีเสรีภาพ?
ตรงกันข้าม คุณ “จูบจำปี” พร่ำชื่นชมไทยว่ามหามิตร แล้วปฎิวัติกี่ครั้ง มีซักครั้งมั้ย ที่สหรัฐฯ ไม่พยักหน้าให้ทำ?
ตอนได้ประโยชน์ ก็ยกไทยเป็นมิตร เป็นประชาธิปไตย
พอไม่ได้ ไทยไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นเหมือนตะก่อน ก็ประณามว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย
แค่นั้นไม่พอ แถมเล่นการเมือง “ชักไยใต้ดิน” หวังล้มล้าง ปูทางให้พรรคในอุ้งตีนมีอำนาจ จะได้เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานสู้จีน
เอาเท่านี้พอเรื่องประชาธิปไตยที่เหมือนกัน แต่ต่างกัน ไว้วันหลัง สหรัฐฯ มันประชาธิไตย ระบบประธานาธิบดี
แต่ของไทย ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไทยใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่สหรัฐฯ
ผู้พิพากษาเท่านั้น ทำหน้าที่ทั้งพิจารณาและพิพากษาคดี ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย
แต่ของสหรัฐ ใช้แบบจารีตประเพณี ในความที่แย่งแผ่นดินเขามา กฎหมายก็ต้องย้วยไปตามจารีตประเพณีแต่ละถิ่นในระบบลูกขุน
ฉะนั้น อยากบอก “สหรัฐ-ยุโรป” ขบวนการยิว-ไซออนิสต์ว่า “ตีนใคร-ตีนมัน”
“อย่าเสือกเอาเกือกคุณมายัดใส่ตีนผมเลย”!
เปลว สีเงิน
๙ สิงหาคม ๒๕๖๗