คลิกฟังบทความ..⬇️
เปลว สีเงิน
ตั้งศพมา ๖ วัน
ไม่ยอมมัดตราสัง ไม่ยอมฉีดยากันเน่า ไม่ยอมให้ปิดฝาโลง
คณะญาติ “หวังปาฏิหาริย์”
ว่าภายใน ๗ วัน ถ้าสมุนที่ส่งออกไปในสมรภูมิข่มขู่-เค้นคอ ให้สว.มอบ “โอสถแท่งทอง” มากรอกปากได้ทันในวันที่ ๑๙ กค.ละก็
ว่าที่ “นายกฯคนที่ ๓๐” มีโอกาสฟื้น
ก็จะครบ ๗ วันพรุ่งนี้
ถ้าไม่ฟื้น คณะญาติ ๘ พรรค จัด “ประชุมเพลิง” แน่ โดยญาติผู้ใหญ่คือ “พรรคเพื่อไทย” เป็นประธานในพิธี
เรื่องของเรื่อง มันก็มีเท่านี้แหละ
เพราะทั้งหลาย-ทั้งปวง เราคุยกันทุกขั้น-ทุกตอนไปหมดแล้ว จะคุยอีก มันก็วนอยู่ในสายสิญจน์วงเดิม
เย็นวาน ใครดูข่าวพิธาแถลงผลประชุม ๘ พรรคบ้าง?
เขาตกลงกันว่า ….
พุธที่ ๑๙ กค.จะเสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯต่อที่ประชุมรัฐสภาอีกรอบ
ถ้ารอบนี้ไม่ผ่าน เพื่อไทยจะเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกล ภายใต้เงื่อนไข MOU เดิม
พูดชัดๆ คือ ก้าวไกล “กอดขา” เพื่อไทยแน่น
ไม่ได้เป็นนายกฯ ขอร่วมเป็นรัฐบาลก็ยังเอา ส่วนเพื่อไทยจะเอออวยด้วยหรือไม่?
ไม่ต้องไปดูที่ไหน…..
ดูที่ “ภาษากาย” ชลน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ยืนข้างๆ พิธาตอนแถลงก็พอ เพราะมันแจ่มแจ้งซะยิ่งกว่าร้อยวาจาซะอีก
เห็นแล้ว เป็นหนังคนละม้วนกันเลย เมื่อเทียบกับประชุม ๘ พรรควันแรก ที่ประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
วันนั้น ชลน่าน “เย็นเจี๊ยบ-หวานจ๋อย” กอดคอ กอดไหล่ มือประกบกับพิธาเป็นรูปหัวใจ หน้าเงี้ย…บานเป็นจานดาวเทียม
แต่เย็นวาน สีหน้า-ท่าทางชลน่าน….
มึนตึง เย็นชา เหมือนสังขยาบูด ตามองขึ้นฟ้า ปล่อยให้พิธาเจื้อยแจ้วกับนักข่าวไปคนเดียว!
ฟังทุกด้านแล้ว ๑๙ กรกฎา.คือวัน “ฌาปนกิจ”
เมื่อพิธา-ก้าวไกล ยืนหยัด ต้องยกเลิกมาตรา ๑๑๒
สว.ส่วนใหญ่ก็ยืนหยัด ไม่โหวตให้พิธาได้ถึง ๓๗๖
ประเด็น “พิธา-นายกฯ” ผมว่า “เลิกพูด” กันได้แล้ว
มองข้ามชอตไปดีกว่า ว่าเพื่อไทยจะเชิญพรรคไหนมาร่วมตั้งรัฐบาลด้วย นับจากนี้?
และเพื่อไทยจะสลัดขาออกจากก้าวไกลที่กอดแน่นด้วยวิธีไหน เพราะถ้ามีก้าวไกลร่วม ต้องเสี่ยงว่า สว.จะโหวตให้จนถึง ๓๗๖ เสียงหรือไม่?
นี่ประเด็นหนึ่งละ ที่ต้องตามดู
อีกประเด็น คือในการประชุมรัฐสภา ๑๙ กค.นี้ สว.มองว่า ญัตติที่เสนอพิธาเป็นนายกฯ มันจบไปแล้วตั้งแต่ ๑๓ กค.
ดังนั้น จะนำมาเสนอใหม่ “ซ้ำญัตติเดิม” ไม่ได้!
ฝ่ายก้าวไกล โดยปิยบุตร “ผู้นำวิญญานก้าวไกล” ออกมาใช้ความเป็นผู้เชี่ยชาญกฎหมายบอกว่า
การโหวตเลือกนายกฯ “ไม่ใช่ญัตติ” ดังนั้น จะเสนอชื่อพิธาให้รัฐสภาโหวตกี่ครั้งก็ได้
เมื่อผู้ชำนาญการด้านนิติสงครามว่าอย่างนี้ พรุ่งนี้ ก็ต้องเปิดโทรทัศน์ช่อง ๑๐ ดูว่าจะลงเอยแบบไหน?
อีก “ด่านมรณะ” ที่พิธาจะเจอ
คือ ด้วยเวลา ๙.๓๐ น.ตรงกัน ของวันที่ ๑๙ กค.นอกจากประชุมรัฐสภาโหวตเลือกนายกฯ แล้ว
ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีการประชุมตามปกติ
แต่ในวาระการประชุม มีเรื่องเสนอ “เพื่อพิจารณา” คำร้องที่กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๒ ว่า
“สมาชิกภาพส.ส.ของพิธา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๑(๖)ประกอบมาตรา ๙๘(๓)หรือไม่?”
ก็ต้องลุ้นอีก
ถ้าศาลฯ มีคำสั่ง “รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย”
และพิจารณาแล้ว พิธา “ผู้ถูกร้อง” มีกรณีตามที่ถูกร้องจริง
ศาลฯ ก็จะสั่งให้พิธา “หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.” จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
พวกด้อมส้มก็จะอมพวงส้มปิยบุตรตะโกนเป็นคำเดียวว่า…นี่คือ “นิติสงคราม”!
คดีนี้ ก็คือ คดีพิธาถือหุ้น iTV ซึ่งเป็นหุ้นสื่อ ที่กฎหมายห้ามคนเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อมวลชนใช้สิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.
สรุป พรุ่งนี้ เรามี ๒ หู ก็ต้องหูผึ่งไว้ทั้ง ๒ หู
ฟังการโหวตนายกฯ ในรัฐสภาด้วย ฟังว่าศาลฯ จะรับคำร้องหรือไม่ และถ้ารับ จะมีคำสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ไว้ก่อนหรือไม่?
แต่ถึงสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ พิธาก็ยังรับการโหวตให้เป็นนายกฯ ได้ เพราะนอกจากเป็นสส.แล้ว พิธายังเป็น “ว่าที่นายกฯ” ในบัญชีเลือกตั้งของพรรค
สมมติมีปาฏิหาริย์ พิธาได้ “โอสถแท่งทอง” ของสว.มาอมจนได้เสียงครบ ๓๗๖
ก็ “อดเป็น” นายกฯ อยู่ดี!
เพราะคุณสมบัติคนเป็นนายกฯ “ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ” เช่นเดียวกับสส.!!!
พอเข้าใจกันนะ
ดูตามรูปการณ์แล้ว ๑๙ กค.แล้ว การจัดตั้งรัฐบาล คงต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ เมื่อพิธาต้องนิทรา เมื่อสายัณห์
ไม่ ป. ก็ อ.วนเวียนอยู่ ๒ ชื่อนี้เท่านั้น
ที่จะเป็นชื่อได้รับการเสนอให้เป็นนายกฯ คนที่ ๓๐
ส่วน ป.ไหน และอ.ไหน ขออมไว้ก่อน เพราะผมก็ยังไม่รู้ แอ๊กทำเป็นรู้เท่ๆ ไปเท่านั้นแหละ
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น เพื่อไทย ที่เป็นแกนคงต้องกินยาทัมใจอีกหลายซอง เพราะมันมีหลายสูตร
นั่นก็ยังไม่ปวดกบาลเท่า ว่าจะทำยังไง จะสลัดขาให้พ้นก้าวไกลกอด
เพราะขืนมีก้าวไกลร่วม ไม่ว่าสูตรไหน ยากผ่านด่านสว.!
พูดถึงสว.ต้องขอชมว่า….
เข้มแข็ง-จริงจัง ในหน้าที่ “ตรวจสอบ-คัดกรอง” เป็นด่านสุดท้ายดีมาก ไม่ปล่อยให้ “ไวรัสล่มเมือง” ระบาดสู่สังคมชาติ
ทุกวันนี้ มี “ก้าวไกล” ในสภา
ขณะเดียวกัน ในถนน ก็มี “อันธพาลการเมือง” เป็นคู่ขนานออกอาละวาด ข่มขู่ คุกคาม ระรานชาวบ้าน และสังคมที่เห็นต่างไปทั่ว
ชาวบ้าน-ชาวเมืองต่างเอือมระอา แต่ไม่มีใครกล้าไปต่อต้าน-ราวีกับพวกนี้
มันเลยได้ใจกันใหญ่ เมื่อ “คนดีหดหัว-คนชั่วมันจึงเริงเมือง”
ย่ามใจ ระรานไปถึง สว.คงนึกว่าเป็นตัวนิ่ม ก็ไปไล่เตะ
ที่ไหนได้ กลายเป็นเม่น
แล้วตอนนี้เป็นไง “เตะเม่น” มันก็ต้องครางหงิงไปเท่านั้น ทะนง-ทนายประเภทอยากดังก็เป็นกะเข้าด้วย และรู้ไว้ ไหว้สวย-รวยกระเช้า สว.เขาก็ไม่เอานะ!
ตอนนี้ มีแต่คนอิจฉานายกฯ ประยุทธ์ แฮปปี้อยู่คนเดียว
พอประกาศ “วางมือการเมือง” เท่านั้นแหละ
อันธพาลการเมือง “ชกวืด” เลย!
ตะก่อน นึกอะไรไม่ออก ก็ด่า-ก็โทษ นายกฯ ประยุทธ์ ผู้เป็น “กระโถนท้องพระโรง” เข้าไว้
แต่ตอนนี้ ไม่มีที่โทษ-ที่ด่าแล้ว เห็นกรุงเทพฯ เสื่อมโทรม-สกปรก รกไปหมด เมื่อก่อนยังด่าผู้ว่าฯ อัศวินโยงไปถึงนายกฯ ได้
แต่วันนี้ ด่าผู้ว่าฯ ชัชชาติ ก็เหมือนด่าตัวเอง และด่าคนล้านสาม ซึ่งร่วมชามข้าวเดียวกัน จึงจำต้องเงียบไว้
ก็ “อนิจจา” คนกรุงเทพฯ นะ
อนิจจาแล้วก็อิจฉา “ลุงตู่” ที่นอนกระดิกขาฮัมเพลงสบาย แต่ที่คิดว่า สิงหา.จะหมดเวร-หมดกรรม รัฐบาลใหม่จะเข้าทำเนียบ ลุงจะได้ไปซะทีนั่นน่ะ
ดูท่าแล้ว ยังหรอก ลุงตู่ยังจะต้อง “อยู่ต่อ” ในฐานะรัฐบาลรักษาการไปเรื่อยๆ อีกหลายเดือน
พวกเรามัวแต่หมกมุ่นเรื่องนายกฯ ไม่ค่อยได้เงยหน้าดูสถานการณ์ “รอบบ้าน-รอบเมือง” กันซักเท่าไหร
รู้มั้ย..ที่ว่าไม่ปกติน่ะ ไม่ใช่การเมืองไทย
แต่เป็น “การเมืองโลก” ที่ดึงประเทศ “กลุ่มอาเซียน” เข้าไปเป็นแนวร่วม โดยมีปัญหาพม่าเป็นเชื้อ
ต้องขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ท่าน “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ แม้เป็นรัฐบาลรักษาการ
แต่ท่าน “เต็มที่-เต็มกำลัง” เพื่อสร้างสุข-พิทักษ์ประโยชน์ชาติ บาลานซ์อำนาจ ๒ ขั้ว สุดกำลัง แบบเงียบๆ
ต้องบอกว่า ถ้าจะขอบคุณใครซักคน ในสถานการณ์ “ไต่เส้นลวด” การเมืองโลก ที่ไทยถูกดึงเข้าร่วม
“กระทรวงการต่างประเทศ” ครับ ที่เราต้องขอบคุณ.
เปลว สีเงิน
๑๘ กรกฏาคม ๒๕๖๖
