เห็นเงาคนติดคุกแทน #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

งานเข้าสิครับ!

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) สรุปเรื่องนักโทษเทวดา ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ งานนี้อาจมีคนต้องติดคุกแทนจริงๆ เสียแล้วสิ

“…การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องยังเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ…”

นี่คือข้อสรุปจาก กสม.

ครับ…เรื่องนี้ กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖ ระบุว่า ให้ตรวจสอบกรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อนุญาตให้ “นักโทษชายทักษิณ” เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ และได้รับการรักษาที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่นอาจเป็นการเลือกปฏิบัติ จึงขอให้ตรวจสอบ

หลังจากสอบข้อเท็จจริงแล้ว กสม.ก็มีความเห็นตามนี้ครับ…

_________________

การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ กำหนดให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเรือนจำฯ ไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งนายทักษิณออกจากโรงพยาบาล เป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทำให้นายทักษิณได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ

ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แม้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง กสม.ไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของนายทักษิณ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างถึงข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย

แต่หากนายทักษิณมีอาการป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตสลับปกติจริงตามอ้าง ก็ควรได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน

ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณสามารถออกจากการควบคุมของเรือนจำฯ ตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของกรมราชทัณฑ์ นายทักษิณสามารถเดินทางกลับบ้านพักส่วนตัวได้ในทันที

โดยไม่พบว่าต้องเข้าไปรับการรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก

รวมทั้งสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรง

อันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤติจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง ซึ่งใช้เป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด

ด้วยเหตุนี้ จึงยังมิอาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงขนาดที่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ นานถึง ๑๘๑ วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่เรือนจำฯ ได้

ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม

อันถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่นกัน

กสม.เห็นว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีตามคำร้องนี้ นอกจากจะมีสาเหตุเกิดจากการกระทำหรือละเลยการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังมีสาเหตุสำคัญเกิดจากกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ข้อ 5 (2) ที่กำหนดห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ ซึ่งเปิดโอกาสให้สถานที่รักษาใช้ดุลยพินิจโดยขาดการพิจารณาจากเรือนจำที่ส่งตัวผู้ต้องขังออกไป

และข้อ ๗ ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีที่ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานานเกิน ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน ให้ผู้บัญชาการเรือนจำมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีและรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อทราบตามลำดับชั้น พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

แต่ไม่มีข้อกำหนดว่าหากเลยระยะเวลา ๑๒๐ วันไปแล้วต้องดำเนินการอย่างไร

ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้ผู้ต้องขังรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำได้เป็นระยะเวลานานเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบ อีกทั้งหากการรักษาตัวเกิน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน ให้ผู้บัญชาการเรือนจำขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และรายงานปลัดกระทรวงยุติธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อทราบเท่านั้น อาจก่อให้เกิดภาวะขาดการตรวจสอบถ่วงดุลและนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกรณีดังกล่าว

กสม.มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องยังเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งอยู่ในหน้าที่และอำนาจตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

โดยได้ทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับเรื่องในประเด็นนี้ไว้แล้ว

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการ กสม.จึงมีมติให้ส่งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

_____________

กสม.มีข้อเสนอ ๓ ข้อพ่วงมาด้วยครับ

ให้กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบการกระทำหรือการละเลยการกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และกรมราชทัณฑ์

และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบการกระทำหรือการละเลยการกระทำของโรงพยาบาลตำรวจ ตามหน้าที่และอำนาจ

ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางและวิธีการในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งก็คือข้อมูลผู้ป่วยของ “นักโทษชายทักษิณ”

และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อไม่ให้มี “นักโทษชายทักษิณ” คนที่สองอีก

ที่จริงข้อสรุปของ กสม.ไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นการตอกย้ำว่า “นักโทษชายทักษิณ” ไม่ได้ป่วยเป็นตายเท่ากันจริง และต้องมีคนรับผิดชอบ

และตัว “นักโทษชายทักษิณ” เอง คือหลักฐานชิ้นเอก เพราะอ้างป่วยวิกฤต แต่ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลกลับเดินตัวปลิว

เห็น “นักโทษชายทักษิณ” ที่หาญกล้าจะไปดูไบแล้ว นี้ อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพิ่งจะผ่านเกณฑ์ได้รับการพักโทษ

เอาเกณฑ์ที่ว่ามาตอกย้ำว่า มีขบวนการเปิดโรงน้ำแข็งจริงๆ

กินอาหารด้วยตนเองไม่ได้

ใช้ห้องน้ำด้วยตนเองไม่ได้

ชำระร่างกายด้วยตนเองไม่ได้

สวมเสื้อผ้าด้วยตนเองไม่ได้

เดินไปมาภายในบ้านไม่ได้

ลุกจากเตียงไปนั่งเก้าอี้ไม่ได้

ขึ้นบันไดด้วยตนเองไม่ได้

อาบน้ำไม่ได้

กลั้นอุจจาระไม่ได้

กลั้นปัสสาวะไม่ได้

“นักโทษชายทักษิณ” ผ่านเกณฑ์มาอย่างเฉียดฉิว ได้พักโทษชนิดนักโทษในเรือนจำคนอื่นๆ ได้แต่มองตาปริบๆ

แล้วดู “นักโทษชายทักษิณ” วันนี้สิครับ

ขอให้ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา งานนี้มีคนติดคุกแน่นอน

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
0 replies on “เห็นเงาคนติดคุกแทน #ผักกาดหอม”