5 มิถถนายน 2567 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังประชุมมอบนโยบายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน ว่า
“ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านภูมิธรรม เวชยชัย ที่ได้มอบหมายให้ผมได้ดูแลรับผิดชอบงานกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
โดยผมเชื่อว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศประกอบด้วยข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถ ผมเองมาเสริมในส่วนที่ขาดในส่วนของการประสานงานกับกระทรวงหรือหน่วยงานอื่น
อย่างเช่น เรื่องงบประมาณ หรือความร่วมมือกันระหว่างกระทรวง ซึ่งผมที่จะช่วยประสานงานกระทรวงต่างๆ โดยใช้นโยบายจากท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการพาณิชย์ท่านภูมิธรรม เวชยชัย เป็นหลัก
ผมเป็นส่วนช่วยเชื่อมต่อในการเข้าถึงข้อมูลและงบประมาณในส่วนต่างๆ หากกรมหรือกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ผมช่วยประสานในส่วนใด ผมจะนำเสนอขอนโยบายจากท่านรัฐมนตรีว่าการ และดำเนินในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป”
โดยนายสุชาติฯ ได้ขอให้กรมประสบความสำเร็จในการเจรจาในใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย
ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ที่ให้ความสำคัญกับการเจรจาจัดทำ FTAเพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออกสินค้าไทยในตลาดโลก พร้อมทั้งเร่งรัดหาข้อสรุป FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา
อาทิ ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป(เอฟตา) และไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน-แคนาดา และพร้อมสนับสนุนการเจรจา FTA เปิดใหม่ 2 ฉบับของไทยในปีนี้กับเกาหลีใต้ และภูฏาน รวมถึงการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ให้ความสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจและการสร้างเครือข่าย FTA เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์จาก FTA ซึ่งปัจจุบัน มีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทย 14 ฉบับ 18 ประเทศคู่ค้า
และฉบับล่าสุดคือฉบับที่ 15 ไทย-ศรีลังกา และฉบับล่าสุดที่กำลังเร่งหาข้อสรุป ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา(FTA) ได้แก่ ได้แก่ ไทย-EFTA, ไทย –EU, อาเซียน-แคนาดา, ไทย-เกาหลีใต้, ไทย-ภูฏาน และการผลักดันการเจรจาเพื่อสร้างพันธมิตรด้านเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุน (JTC)
อาทิ มาเลเซีย จีน และสหราชอาณาจักร ตลอดจนการเข้าร่วมประชุมเวทีเจรจาระหว่างประเทศ อาทิ APEC, WTO, ASEAN รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อทางการค้า แก้ไขอุปสรรคทางการค้า รวมถึงยังให้ความสำคัญในการเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จาก FTA เพื่อเป็นเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ กรมยังได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน ได้เร่งส่งเสริมธรรมาภิบาลในองค์กร และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (DTN e-services) เพื่อให้บริการต่อผู้ประกอบการและประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
รมช.สุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมขอขอบคุณท่านอธิบดี และขอให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน กรมเจรจาการค้าฯ มีความสำคัญ และผมขอชื่นชม ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เก่ง มีความสามารถ มีองค์ความรู้ที่เชี่ยวชาญ อยากให้ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน ทำงานกันแบบครอบครัว ผมยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและประสานงานแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้งานของกรมเจรจาและกระทรวงพาณิย์สำเร็จลุล่วงไปได้“
“ผมมีความตั้งใจที่อยู่กับกระทรวงพาณิชย์ เป็นการสร้างความแข็งแกร่งในส่วนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะที่ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านเศรษฐา ทวีสิน ได้ให้ความสำคัญกับการเจรจาทำข้อตกลง FTA กับประเทศต่าง ๆ ให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบธุรกิจ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพราะประเทศไทยมีรายจ่ายเยอะ จึงจำเป็นต้องหารายได้เข้าประเทศจำนวนมากซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงหลักในการค้าขาย ผมก็มีความยินดีที่จะรับงานของกระทรวงพาณิชย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งในเสาหลักเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย