ผักกาดหอม
“ดีเอ็นเอ” แรงจริงๆ…
วันเสาร์ที่ผ่านมา (๑ มิถุนายน) งานของชาวสีรุ้งปีนี้จัดยิ่งใหญ่ มีนักการเมืองไปร่วมเดินพาเหรดในย่านดาวน์ทาวน์กรุงเทพฯ กันเพียบ
ภาพออกไปทั่วโลก
เป็นเครื่องยืนยันประเทศไทยคือดินแดนแห่งเสรีภาพ
และนักการเมืองไทยก็ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเพศกันอย่างมาก ดูจากการแย่งกันเคลมผลงานกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่ไม่ยอมลดละกันเลย
ไฮไลต์ของงานหลายคนบอกว่ามี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ไปร่วมเดินพาเหรด
แต่ส่วนตัวมองว่า “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ต่างหาก คือจุดสนใจของงานนี้
เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าที่ผ่านมา “พิธา” จะไม่พลาดงานธีมนี้
แม้ประวัติ “พิธา” จากปากอดีตภรรยา จะไม่ค่อยราบรื่นกับ LGBT แต่ปัจจุบันภาพที่ปรากฏคือ ไร้รอยต่อ ก็ตาม
ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” ดูใสกว่า เพราะไม่มีประวัติด้านลบกับ LGBT
หรือมีแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว อันนี้ก็ไม่ทราบได้
ปีก่อน “อุ๊งอิ๊ง” ร่วมงานในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ความจัดจ้านยังอยู่ในระดับพื้นๆ
มาปีนี้ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าแม่ซอฟต์พาวเวอร์ “อุ๊งอิ๊ง” จึงจัดเต็ม ไม่เป็นสองรองใคร
ครับ…มันคือเรื่องของนักการเมืองที่ เอาตัวเข้าไปอยู่ในความเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อให้เป็นที่จดจำ
แต่จะมีสำนึกที่ดีกับเรื่องราวหรือไม่ ก็ต้องดูที่การกระทำที่ผ่านๆ มา
ครับ…เข้าเรื่อง…
ดีเอ็นเอ ยีน โครโมโซม ที่ “อุ๊งอิ๊ง” ได้รับจาก “นักโทษชายทักษิณ” คือพิมพ์เขียวที่ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนเลย ว่ากันถึงระดับเซลล์กันเลยครับ
ระหว่างพักเดินพาเหรด “อุ๊งอิ๊ง” ให้สัมภาษณ์ เรื่องที่ อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง “นักโทษชายทักษิณ” คดี ม.๑๑๒ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ฟังดูเหมือนมีชั้นมีเชิง
แต่กลวง!
“…ได้พูดคุยแล้ว จริงๆ คุณพ่อก็ไม่ได้กังวลในเรื่องนี้มาก…”
เป็นความพยายามกลบเกลื่อน เพราะหากพิจารณาจาก ข้ออ้างติดโควิด ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่า “นักโทษชายทักษิณ” ติดโควิดจริง ได้แสดงให้เห็นว่า ตระกูลชินวัตร กังวลกับคดี ม.๑๑๒ อย่างมาก
“นักโทษชายทักษิณ” รู้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ว่า อัยการนัดฟังคำสั่งว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม
การเดินทางไปโคราชในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม หากมองผิวเผินเป็นหมุดหมายทางการเมือง แต่มีไทม์ไลน์ของคดี ม.๑๑๒ แฝงอยู่
ทำให้การติดโควิดมีความน่าเชื่อถือ!
คำให้สัมภาษณ์ของ “อุ๊งอิ๊ง” ยิ่งพูดยิ่งเข้าตาจน
“…คดีนี้เกิดขึ้นตอนปฏิวัติรัฐประหารนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เสร็จใหม่ๆ แล้วก็อัยการสูงสุดในขณะนั้น ถูกแต่งตั้งโดยคณะ คสช. ได้คุยกับคุณพ่อท่านก็บอกว่า การขึ้นศาลก็ดีเหมือนกัน ก็จะได้สามารถ เอ่อ ได้พูดถึงข้อเท็จจริงได้นะคะ…”
ประเด็นนี้สำคัญครับ
“อุ๊งอิ๊ง” กำลังบอกว่า “นักโทษชายทักษิณ” ถูก คสช. ยัดคดี ม.๑๑๒ และ พ.ร.บ.คอมพ์
มาไล่เลียงเหตุการณ์กันอีกครั้งครับ
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ “นักโทษชายทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบัน
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ขณะนั้น ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญ แจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)
ต่อมาพนักงานสอบสวน ส่งสำนวนการสอบสวนคดี มีความเห็นสั่งฟ้อง “นักโทษชายทักษิณ” ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
เนื่องจากเป็นคดีความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุด
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อัยการได้รับสำนวนคดี
๑๙ กันยายน ๒๕๕๙ อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่ผู้ต้องหาหลบหนี ออกหมายจับ
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ “นักโทษชายทักษิณ” เข้ารายงานตัว รับทราบข้อหา แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยื่นขอความเป็นธรรม
๑๐ เมษายน ๒๕๖๗ อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งคดี
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด อ่านคำสั่งคดี สั่งฟ้อง “นักโทษชายทักษิณ” คดี ม.๑๑๒ และ พ.ร.บ.คอมพ์
และ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗ อัยการนัดส่งฟ้องศาล เป็นวันที่ “นักโทษชายทักษิณ” ต้องเดินทางไปศาล
นี่คือกระบวนการยุติธรรมปกติ
แต่ที่ไม่ปกติคือ “อุ๊งอิ๊ง” พยายามทำให้เป็นคดีการเมือง โดยอ้าง คสช.ยัดคดี
และยังบอกว่า อัยการสูงสุดขณะนั้นเป็นคนของ คสช.
๑๙ กันยายน ๒๕๕๙ อัยการสูงสุดที่มีความเห็นสั่งฟ้อง คือ “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร”
“ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์” ถูกแต่งตั้งโดย คสช.จริงหรือ?
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ มีการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เพื่อพิจารณาเสนอชื่อผู้ที่คุณสมบัติและความเหมาะสมเป็นอัยการสูงสุดคนใหม่ แทนที่ “ตระกูล วินิจนัยภาค”
ขณะนั้นมีรองอัยการสูงสุด ๖ คน
๑.วุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์
๒.มนัส สุขสวัสดิ์
๓.ชาญวิทย์ เจริญพจน์
๔.เรวัตร จันทร์ประเสริฐ
๕.ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร
๖.วีรพล ปานะบุตร
แต่ด้วยความบังเอิญว่า คนที่ ๑-๔ และ ๖ จะเกษียณราชการพร้อมกับ “ตระกูล วินิจนัยภาค” คือวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘
จึงเหลือรองอัยการสูงสุดเพียงคนเดียวคือ “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร”
ในการลงมติวันนั้นมีการเชิญ “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์” ออกนอกห้องประชุม เพราะหากใครค้านจะได้ค้านกันเต็มเหนี่ยว
ปรากฏว่าที่ประชุม ก.อ.ลงมติเห็นชอบและไม่มีผู้คัดค้าน
กระบวนการหลังจากนั้นคือต้องเสนอชื่อต่อที่สภา แต่ขณะนั้นไม่ใช่สภาผู้แทนฯ แต่เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ตรงนี้กระมังที่ “อุ๊งอิ๊ง” เอาไปเคลมว่า อัยการสูงสุดคนที่สั่งฟ้องพ่อตัวเองคือคนของ คสช.
ถ้าทีมกฎหมายของ “นักโทษชายทักษิณ” จะเอาประเด็นนี้ไปอ้างในศาล ขอเตือนว่า อย่า…
อย่าช้า เอาให้ไว
ทนายฝั่งตรงข้ามเขาจะสวนเอาว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยสืบทอดทางสายเลือดเหมือนเกาหลีเหนือ จะไปไม่เป็นเอานะ
ก็ไม่ทราบครับว่า “อุ๊งอิ๊ง” ไปหาข้อมูลมาเอง หรือใครหาให้
แต่…เห็นชัดเจนครับว่า “อุ๊งอิ๊ง” เป็นได้แค่ลูกสาวอดีตนายกฯ ไม่อาจเป็นนายกฯ ได้เลย
มือไม่ถึง