เขาชื่อ “วิษณุ เครืองาม” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

อ้าว…แล้วกัน!
ข่าวมาล่วงหน้า “ทนายทักษิณยื่นหนังสือ
ขอเลื่อนวันนัดฟังคำสั่งอัยการในคดีมาตรา ๑๑๒ วันนี้ไปก่อน อ้างเหตุ ทักษิณป่วยโควิด”!?
แต่อัยการจะให้เลื่อนหรือไม่ ข่าวไม่ได้แจ้ง แต่ผมแจ้นมาบอกก่อน

ถ้าทนายเป็นฝ่าย “ขอเลื่อน” ก็เป็นสัญญานว่า อสส.น่าจะ “สั่งฟ้อง”!

เจ้าตัวน่าจะรู้ จากนักโทษ “พักโทษ” เมื่อจะต้องเป็นผู้ต้องหาอีกครั้ง สิ่งต้องการ คือเวลา “เคลียร์ขั้นตอน”
หรือ “เคลียร์อะไรๆ” ตามสไตล์ผู้เหนือกฎหมายบ้านเมืองเขาทำ

“ฟังหู-ไว้หู” ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อ อีกไม่กี่อึดใจก็รู้ “เลื่อน-ไม่เลื่อน”
อ้างป่วยโควิด….สาธุ ขอให้มันเป็นจริง!

พอจะ “เข้าคุก-เข้าตะราง” ละก็ แหม…เป็นต้องป่วยขั้นรุนแรง อาจอันตรายถึงชีวิตได้ ทุกทีไป

แต่พอพ้นคุก ….
ลั้นลาเป็นไก่รอดโรคห่า กระพือปีกบินไปทั่ว!

ป่วยโควิด ก็กลับไปนอน “รอยัล สวีท” ชั้น ๑๔ โน่นซี
“ไอ้ตี๋หัวตั้ง” จะได้ไปเยี่ยมอาการและคุยกัน

“แยกกันตี” ตบตาชาวบ้านมานาน ได้เวลาแดง-ส้ม “รวมกันอยู่” แบ่งพื้นที่กันครองให้สมอยาก-สมกับที่ทำกันมาจริงๆซะที

๙ ปีที่ผ่านมา ผลักคน “เอาชาติ-รักสถาบัน” เป็น “ฝ่ายเผด็จการทหาร” แล้วยกพวก “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”

ตอนนี้ ตั้งนิยามใหม่ ว่าคน “เอาเจ้า-เอาสถาบัน-เอาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมดั้งเดิม” เป็นพวก “อนุรักษ์นิยม”

ส่วนพวก “แดง-ส้ม” ล่มชาติ-ล้มสถาบัน นิยามว่า “คนหัวสมัยใหม่” เป็นฝ่าย “ประชาธิปไตยเสรีนิยม”

แต่จริงแท้ตามที่เป็น….
พวกนี้ เป็นพวก “คอร์รัปชันนิยม” เต็มตัว แต่เสแสร้งอยู่ในคราบประชาธิปไตย

“โกงเอามาแบ่งกัน” คือหัวใจประชาธิปไตย “คอร์รัปชันนิยม” ถูกสเปกชาวบ้านซะด้วย

เมื่อการเมืองเคี่ยวงวด ผลึกประชาธิปไตยที่ตกคือ “โกงเอามาแบ่งกัน” ฉะนั้น ตามดูความเป็นไปในแต่ละย่างก้าวให้ดี

เผลอเมื่อไหร่ กลุ่มจัญไรเมือง จะยึดทั้ง ๒ สภา ๒ สถาบัน แล้วที่เหลือ คือ “สถาบันตุลาการ” ก็คือ “ลูกไก่ในกำมือ”

ข่าวฮือฮากันตลอดวันวานคือเรื่อง “เศรษฐา” ไปหา “ดร.วิษณุ เครืองาม” ถึงบ้าน
ไอ้ผมก็นึกว่า จะไปไหว้วานให้ดร.วิษณุไปชวน “พลเอกประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกฯ

อุตส่าห์ดีใจ……
แต่ที่แท้ ไปชวนดร.วิษณุให้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้รัฐบาลเพื่อไทย!
ต้องร้องว่า…โถ…โถ

โถแรก โถ…สงสารเศรษฐา ที่เหลือแต่เศษศรัทธา
โถที่สอง โถ…สงสารเนติบริกร พ้นเวรแล้วยังหากรรม!

ตอนรัฐบาลประยุทธ์พ้นวาระ เห็นประกาศ “จบจาก ๙ ปีนี้แล้ว ไม่เอาแล้ว พอกันที”
แต่พอมีคนไปให้เอา ทั้งที่โรครุมเร้าพันรอบเอว ก็ยังไม่วายกระเย้อกระแหย่งเอา

จะว่าเวรกรรมก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่า “หาเวร-หากรรม” มาใส่ตัว นั่นละใช่
ดร.วิษณุอยากมาช่วยเศรษฐาอย่างนั้นหรือ?

ผมว่า ไม่ใช่
ลำพังเศรษฐาน่ะ ไม่มีน้ำยาที่ดร.วิษณุจะยอมมาขายชีวิตให้หรอก
แล้วใครล่ะ แม้ใกล้ตาย วิษณุก็ต้องรีบหาย รีบตะกายมาสนองคำสั่ง

ผมเคยอ่านหนังสือ “โลกนี้คือละคร” ของสำนักพิมพ์มติชน ที่ดร.วิษณุถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตในวังวนการเมือง พิมพ์เป็นเล่มจำหน่าย

“ดร.วิษณุ” เล่าไว้เป็น “กุญแจไข” วันนี้ ว่า

….เมื่อรัฐบาลนายกฯ ชวนยุบสภา คุณทักษิณตั้งพรรคแล้ว และกำลังเตรียมจะลงเลือกตั้งในปี ๒๕๔๓ ผมยังได้พบท่านอีกหลายครั้ง แต่ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมือง ครั้นเมื่อ “พรรคไทยรักไทย” ชนะการเลือกตั้งทั่วไป จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

คุณทักษิณจึงให้ผมไปพบที่บ้าน “จันทร์ส่องหล้า” เพื่อซักซ้อมกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลและการที่รัฐบาลจะเข้าทำงาน หลังจากนั้น ก็เคยเชิญผมและครอบครัวไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านร่วมกับแขกคนอื่นๆ อีกหลายครั้ง

คนที่น่าประทับใจคนหนึ่งคือ “คุณหญิงพจมาน”
ผมได้เห็นการวางตัวที่ดี ไม่พูดเรื่องการเมืองเลย

แต่โอภาปราศรัยกับแขกอย่างอ่อนโยน เป็นกันเอง แสดงความเอาใจใส่ในสารทุกข์สุกดิบ

เมื่อรู้ว่าภริยาของผมป่วยเป็นโรคไต ต้องเข้ารับการผ่าตัด ก็กุลีกุจอ ปวารณาตัวว่า จะฝากฝังหมอที่โรงพยาบาลของท่านให้

เอาใจใส่ดูแล แม้แต่อาหารการกิน การเดินการเหิน จนภริยาผมบอกว่า ทีหลังอย่ามาชวนไปอีก เพราะเกรงใจคุณหญิงเหลือกำลัง

ปี ๒๕๔๔ เป็นปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประสบปัญหาคดี ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งกลายเป็นคดีใหญ่ที่ ป.ป.ช. ชี้มูล และเรื่องอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อคดียุติลง ด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่านายกฯ ทักษิณไม่ผิด
คุณทักษิณก็ดูจะมุมานะทำงานมากขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น ไวขึ้น และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น

ตัวท่านเองเปรยว่า ช่วงแรกยังต้องเบรกๆ บ้าง กลัวศาลตัดสินให้พ้นตำแหน่ง แต่ต่อไปนี้ ต้องเร่งกำลังสองเท่า
พวกข้าราชการได้ฟัง พากันตาเหลือก เพราะขนาดเบรกๆ ยังตามกันไม่ค่อยทัน

จุดเปลี่ยนแปลง
กลางปี ๒๕๔๕ คุณทักษิณเป็นนายกฯ มาได้ปีเศษ วันหนึ่งนายกฯ ทักษิณอารมณ์ดี ถามขึ้นว่า คุณอยู่มาครบ ๔ ปีจนต่ออายุฯ แล้วหนึ่งหน หนนี้ถ้าผมไม่ต่อให้ คุณจะไปทำอะไร

ผมเรียนไปว่า กำลังอยากกลับไปอยู่จุฬาฯ แต่ว่าไม่ได้ ปีหน้าลูกผมเรียนจบกฎหมายที่จุฬาฯ คงไปเรียนต่อที่เมืองนอก

ผมอาจขอลาออกไปสอนหนังสืออยู่เมืองนอก และอยู่กับลูกก็ได้ โดยเฉพาะถ้าได้สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่ลูกเรียน

นายกฯ ทักษิณ เปรยว่า มีคนบอกว่า น่าจะให้คุณไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะอันที่จริง ตอนนั้น ผมก็รักษาการในตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งอยู่แล้ว

วันหนึ่ง ในราวเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ ผู้ใหญ่ที่ผมคุ้นเคยและเคารพนับถือคนหนึ่ง คือ คุณชัชวาล อภิบาลศรี
และเพื่อนเรียน วปอ. รุ่น ๓๙๙ รุ่นเดียวกับผมอีกคนชื่อ คุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติกับคุณหญิงพจมาน ได้ชวนผมไปรับประทานอาหารเที่ยง ที่ร้านอาหาร ส.บ.ล. วังบูรพา

การสนทนาแกล้มอาหารมื้อนั้น ในระยะแรกๆ ก็ยังเป็นเรื่องสัพเพเหระ หนักเข้าก็เป็นเรื่องการบ้านการเมือง

ผมได้ปรารภจุดแข็ง-จุดอ่อนของนายกฯ ทักษิณ ให้คุณบรรณพจน์ฟัง ตามประสาคนรู้จักกัน

และวิตกว่า “คุณทักษิณหลังคดีซุกหุ้นไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เพราะท่านมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เหมือนคนไม่มีอะไรมายื้อยุดฉุดยั้งอีกแล้ว”

จึงอาจระมัดระวังน้อยลง ฟังคนน้อยลง เหมือนอั้นมานาน และให้ความสำคัญแก่เป้าหมายปลายทางมากกว่าวิธีการ จนอาจพลาดได้ง่าย

เช่น มักคิดว่า ถ้าเจตนาดีจะช่วยคนจน จะปราบยาเสพติด จะทำให้ประเทศเจริญแล้ว วิธีการอะไรก็ช่างมัน

ไหนจะมีเงิน ไหนจะมีสติปัญญา ไหนจะมีพวกพ้องเสียงเชียร์มาก ไหนจะมีเสียงในสภาท่วมท้น ไหนจะหมดชนักปักหลัง

คนอย่างนี้ ผมเห็นมามากแล้ว ว่าจะคึกคะนอง ดุจอินทรชิต ที่ได้ฤทธิ์จากพระเป็นเจ้า จนบิดเบือนกายินทร์ เหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณได้

ข้อสำคัญคือ เกรงว่ารูปโฉมประเทศไทยจากนี้ไป จะเป็นรัฐตำรวจ มากกว่านิติรัฐ

อีกสาเหตุหนึ่งและข้อสำคัญคือรัฐบาลขาดมือกฎหมาย ผมไม่ได้แนะให้ตั้งใครมาเป็นมือกฎหมาย แต่แนะไปว่า รัฐบาลควรพึ่งพาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มาก ขยันหารือเข้าไว้ ขณะนั้น รัฐธรรมนูญใหม่ฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ เพิ่งมีผลใช้บังคับเต็มอัตรากับรัฐบาลชุดนี้เป็นชุดแรก

จึงควรระวังอิทธิฤทธิ์ ซึ่งผมเชื่อว่าจะพลาดเข้าสักวัน

หากไม่อยากหารือกฤษฎีกาเพราะกลัวช้า ก็อาจทำอย่างที่รัฐบาลอาจารย์สัญญา พลเอกเปรม และพลเอกชาติชายเคยทำ

คือ ตั้ง “คณะที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล” เอาไว้ประจำทำเนียบ จะได้เรียกใช้ได้ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง

แม้ความน่าเชื่อถือจะน้อยกว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา เราได้คุยกันแม้กระทั่งว่า ใครน่าจะเป็นที่ปรึกษาบ้าง

ผมให้ชื่อไปราวสิบคน ก็คนดังๆ ในเวลานี้แหละครับ แต่มาวันนี้ คนเหล่านั้น กลายเป็นอยู่คนละข้างกับคุณทักษิณทั้งนั้น

คุณบรรณพจน์กินไป ฟังไป จดไป ไม่พูดไม่จา ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของท่านอยู่แล้ว

พอลับหลังคุณบรรณพจน์ ผมยังแอบนินทากับคุณชัชวาลว่า ที่คุณบรรณพจน์จดไป คงหายหกตกหล่นกลางทางหมด เหลือไปถึงนายกฯ ทักษิณ สักหนึ่งในสิบส่วนกระมัง!

สามวันต่อมา “คุณหญิงพจมาน” เชิญผมไปพบที่บ้าน กระดาษที่ “คุณบรรณพจน์” จดไป วางอยู่ข้างหน้า

คุณหญิงให้ผมวิจารณ์รัฐบาลให้ฟังอีกหนว่า ใครเป็นอย่างไร นายกฯ เป็นอย่างไร ปัญหาในการทำงานมีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่ค่อยฟังใคร เช่นเรื่องอะไร ถ้าไม่ฟัง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

คณะที่ปรึกษาสิบคนที่ผมเสนอแนะนั้น ผมรู้จักไหม ไว้ใจได้ไหม
คุณหญิงถามอย่างคนไม่รู้ โดยไม่เสริม หรือออกความเห็นเสียเองแม้แต่ประโยคเดียว
………………………

อ่านแล้ว เลิกสงสัยเลย
ว่าทำไม “ผีโม่แป้ง” ได้!

เปลว สีเงิน
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
“ค่ากลั่น-ค่ากลอกกลิ้ง” – เปลว สีเงิน
ผมเป็นโรคพิลึก “ร่างกายขาดเค็ม”! เลยต้องไปนอนกินเกลือเม็ดที่โรงพยาบาลซะ ๓ คืน! นอกจากหมอกับพยาบาลแล้ว โทรทัศน์กับเพดาน ๒ อย่างเท่านั้นที่ได้เห็น ที่หายเร็ว ก็คงพราะเห็นคุณ “กรณ์...
Read More
0 replies on “เขาชื่อ “วิษณุ เครืองาม” – เปลว สีเงิน”