เปลว สีเงิน
ช่วงนี้ ทั้งกฎหมายและกฎกรรมกำลังทำหน้าที่เข้ม
มีคดีหนึ่ง ที่ “ศาลอาญากรุงเทพใต้”
“น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง” หรือ “ครูอ้อย” ไลฟ์โค้ชเข็มทิศชีวิต ฟ้อง “บริษัท ไทยเวิลด์ มีเดีย จำกัด” ฐานหมิ่นประมาท ที่ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” โพสต์ภาพเธอและข้อความว่า
“รวมคนดังชีวิตหวิดพังเพราะเข็มทิศ เป็นประเด็นอย่างต่อเนื่อง สำหรับคอร์สหลักสูตร “เข็มทิศชีวิต” ของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง”
คดีนี้ ศาลพิพากษา “ยกฟ้อง” เมื่อ ๑๒ กพ.๖๗
ขอบอกว่า “ต้องอ่าน”
เพราะไม่แน่ จะมี “ปาฎิหาริย์แห่งธรรม” เช่นนี้ ปรากฎในคำพิพากษาจากคดีอื่นๆ ให้อ่านกันอีกเมื่อใด?
ขอบันทึกไว้ด้วยศรัทธา ค่อยๆ อ่าน และตรองตามกัน จากต่อไปนี้เลย
“ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า….
ที่พระโพธิสัตว์ ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยา เสด็จหลีกออกผนวช แสวงหาทางพ้นทุกข์จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตั้งพระศาสนาหรือพระธรรมวินัยขึ้น
โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไว้ให้พระพุทธศาสนิกชนได้ยึดถือเป็นสรณะ นั้น
เป็นการกระทำเพื่อโปรดเหล่าสัพพสัตว์ที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ตามจนเกิดปัญญารู้เห็นสัจธรรม
ทำให้ทุกข์ในใจเบาบางลงไป จนหมดสิ้น อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์
โดยพระตถาคต ไม่ได้กระทำไปด้วยความปรารถนาในลาภ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใดๆ
ซึ่งการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้มีศรัทธา ก็ทรงให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสงฆ์สาวกหรือนักบวชในธรรมวินัย ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัย จนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ตน
มีคุณสมบัติเป็นผู้มักน้อย สันโดษในลาภสักการะ เลี้ยงชีพด้วยปัจจัยสี่ ที่ผู้ครองเรือนมอบให้ด้วยใจศรัทธา
เที่ยวจาริกไปเผยแผ่คำสอน และชี้ทางแห่งความสุขความเจริญในชีวิตให้แก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย
มีความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ตาปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต ก็ย่อมจะพบชีวิตใหม่ที่มีคุณค่า กว่าการได้ทรัพย์สินอันใดในโลก
เพราะแม้จะยังทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในอัตภาพนี้ ก็ต้องได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในอัตภาพ ต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอน
ส่วนการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาเป็นที่พึ่งของเหล่าสัพพสัตว์ชั่วกาลนาน
พระองค์ทรงมอบให้เหล่าพุทธบริษัท ๔ อันประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันกระทำ
โดยภิกษุและภิกษุณีต้องอยู่ในพระธรรมวินัย อุบาสกและอุบาสิกา มีความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อน้อมใจเข้าไปพิจารณาหลักการสำคัญของพระศาสนาตามพระประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้น และความต้องการอยากพ้นทุกข์ของมนุษย์เข้าด้วยกัน
ผู้เป็นพุทธศาสนิกชน ย่อมต้องยอมรับว่าพระธรรมคำสั่งสอนที่ได้ประทานไว้ให้โดยมหากรุณานั้น
ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด มีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลก
และเป็นการประทานให้เปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือทองเข้าแลก
ดังนั้น จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่เหล่าพุทธบริษัท ๔ ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้ว
จะอาศัยเอาพระธรรมนั้น ออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร
เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สิน เงินทองได้ประการหนึ่ง
ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง
และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ
เป็นผู้ได้เปรียญธรรม หรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน
มีคุณธรรมวิเศษในใจ มีดวงตาเห็นธรรม รู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน มีมรรคองค์ ๘ เป็นปฏิปทาในตน แล้วจึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชน ผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้
เพราะคนที่ยังเป็นปุถุชนและยังไม่ได้เปรียญธรรม หากเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่น ก็เท่ากับคนตาบอด เดินจูงคนตาบอดไป ย่อมจะไม่สามารถถึงจุดหมายตามที่ปรารถนาได้
แต่กลับต้องประสบกับทุกข์และคลาดเคลื่อนออกนอกทางแห่งพรหมจรรย์ที่ทรงแสดงไว้ให้อย่างแน่แท้
และยิ่งหากเข้าลักษณะเป็นการใช้เงินจ้างในการจูง ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะเอาผิด เอาโทษ กับบุคคลผู้จูงทั้งในทางแพ่งและทางอาญาได้
ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างเอาว่า การชำระเงินเป็นความสมัครใจของผู้อยากเรียนรู้ธรรม
และที่ใครไม่สามารถสร้างปัญญาได้ ก็เป็นเรื่องของวาสนาแต่ละบุคคลเท่านั้น ดังนี้
หากมีบุคคลใดได้แสดงตนกระทำการดังกล่าวเช่นนั้นจึงไม่นับว่า เป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับการยกย่องจากสาธุชนทั่วไปว่า
เป็นผู้ประกอบคุณงามความดี หรือนำประโยชน์ทางศาสนามาให้สังคมแต่ประการใด
ในขณะเดียวกัน ก็ย่อมเป็นผู้ไม่สมควรที่จะได้ไปซึ่งเงินของบุคคลที่แสวงหาที่พึ่งทางใจจากคำสอนในพระพุทธศาสนาอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อคดีนี้ โจทก์เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรม มีแต่ปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่า ได้นำเอาหลักศาสนาพุทธมาใช้เป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ
มีรายได้และผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรม “เข็มทิศชีวิต” เป็นเงินไม่น้อยประมาณปีละ ๑๐ ล้านบาท ขึ้นไป
โดยการเก็บเงินค่าสมัครเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิตจะกำหนดค่าสมัครตามจำนวนผู้สมัคร
หากมีผู้สมัครจำนวนน้อยจะคิดค่าสมัครแพงกว่ากรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมาก ค่าคอร์สรายบุคคลในราคาหลักหมื่นไม่ก็หลักแสน
โดยเพียงบุคคลเดียวหากเรียนหลายคอร์สจะต้องใช้เงินประมาณ ๓ ล้านบาท นั้น
ย่อมเท่ากับเป็นการรับรองอยู่ในตัวต่อผู้มีศรัทธาในพระศาสนาว่า ตนเองมีภูมิจิต ภูมิธรรมสูง เลยขั้นปุถุชนคนหนึ่งด้วยกิเลสไปแล้ว
ซึ่งอย่างไรก็ดี คุณธรรมภายในใจเช่นว่าที่รู้ได้แต่เฉพาะตน ส่วนคนอื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำได้แต่เพียงคาดเดาเอาจากบุคลิกภาพ อันประกอบด้วย วาจากิริยา ท่าทางและการแต่งกาย
อย่างไรก็ดี พอจะมีเครื่องหมายที่จะบ่งชี้ว่า อริยสาวกผู้ใดเป็นผู้มีคุณธรรมภายในเช่นนั้นได้ กล่าวคือ
อริยสาวกผู้นั้น จะต้องเป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น
คดีนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า บุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง เคยเข้าคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตกับโจทก์ มีความสนิทสนมรักใคร่ในตัวโจทก์
แต่ต่อมา ก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะลงข่าวกล่าวถึงโจทก์ด้วยกับคำตามฟ้อง บุคคลเหล่านั้น ต่างก็ร้องขอให้โจทก์ลบรูปของตนที่ถ่ายคู่กับโจทก์ออกจากเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์คอร์สอบรม “เข็มทิศชีวิต” ของโจทก์
และแสดงออกให้สังคมทราบว่า ไม่ยอมที่จะให้โจทก์ใช้ชื่อเสียงของตนไปประชาสัมพันธ์คอร์สอบรมของโจทก์อีก
และเมื่อพิจารณาจากเอกสารข่าวของสำนักข่าวรวม ๔ สำนัก ที่ลงข่าวในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ๒๕๖๖ มีเนื้อความกล่าวถึงพฤติการณ์ที่มีผู้เข้าคอร์ส “เข็มทิศชีวิต”
กล่าวถึงพฤติกรรมของโจทก์ในการดำเนินงานเปิดคอร์สอบรมในทางเป็นลบต่อตัวโจทก์ สอดคล้องกับคำตอบถามค้านของพยานโจทก์ว่า
โจทก์เป็นไลฟ์โค้ชชื่อดัง มีรายได้จากการเปิดคอร์ส อบรม “เข็มทิศชีวิต” หลายสิบล้านบาทต่อปี
ได้ประสบปัญหาในเรื่องความไว้วางใจจากบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมและเคยเปิดคอร์สอบรม “เข็มทิศชีวิต” ของโจทก์ ต่างทยอยถอนตัวออกไปอยู่ห่างจากโจทก์
และไม่ยินยอมให้โจทก์ใช้ภาพถ่ายของเขาเหล่านั้น ที่เคยถ่ายร่วมกับโจทก์ ในขณะที่เข้าอบรมในคอร์ส “เข็มทิศชีวิต” นำไปใช้ในการโปรโมทคอร์สอบรมของโจทก์
และบางคนถึงขั้นขัดแย้งไปทางกฎหมายกับตัวโจทก์ ซึ่งเห็นว่าการที่โจทก์ต้องหยุดเปิดคอร์ส “เข็มทิศชีวิต” ไปก่อนหน้านี้ ประมาณ ๑ ปีเศษ
ก็น่าเชื่อว่าเป็นผลมาจากข้อเท็จจริงการที่ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสหรือได้เห็นปฏิปทาในทางธรรมของโจทก์ ที่ปรากฏอยู่ในข่าวซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ ๑ ลงข่าว
ดังนี้ พฤติการณ์แห่งรูปคดี ย่อมจะน่าเชื่อได้ว่า
บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงดังกล่าวนอกจากจะไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการเข้าคอร์สแล้ว
ยังถึงขั้นกับตั้งตัวรังเกียจในตัวโจทก์อีกด้วย
โดยที่หลักการสำคัญของศาสนาพุทธ และทุกศาสนา ที่ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยความมีเมตตาและกรุณา ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ เพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความผาสุกแล้ว เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์ตามที่กล่าวมาข้างต้น
จึงต้องเชื่อได้ว่าตัวโจทก์เป็นคนที่ได้กระทำให้บุคคลผู้เสียเงินสมัครเข้าอบรมคอร์ส “เข็มทิศชีวิต” ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง
จึงนับว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยหลักธรรมอันเป็นหลักการของศาสนาพุทธ
ดังนี้ โจทก์จึงไม่อาจอาศัยการกระทำที่ขัดแย้ง ไม่ตรง และไม่เป็นไปโดยชอบด้วยคำสอนของพระศาสดา
มีเจตนามุ่งหวังและแสวงหากำไรเป็นประโยชน์เฉพาะตน มาใช้เป็นฐานรองรับในการขอใช้อำนาจแห่งกฎหมายคุ้มครองการกระทำดังกล่าว
ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดยชอบธรรม เพื่อให้ลงโทษบุคคลอื่นที่กล่าวประกาศตีแผ่และตำหนิติเตียนเฉพาะแต่การกระทำและผลของการกระทำของโจทก์
โดยไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของโจทก์แต่ประการใด
ดังนี้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยในคดีอาญา ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒ (๔) พิพากษายกฟ้อง
………………………………
“คำพิพากษา” นี้ ถือเป็นบรรทัดฐานพิพากษา อันฎหมายใด-กฎระเบียบใด ไม่ประกอบด้วยธรรม
คำพิพากษา นั้น จะบอกว่า “ยุติโดยธรรม” สมบูรณ์ หาได้ไม่
ดังนั้น คำพิพากษาคดี “ใช้ธรรมหากิน” นี้ คู่ควรกับคำว่า ไทย “แผ่นดินธรรม-แผ่นดินทอง” แท้จริง
เปลว สีเงิน
๒ มีนาคม ๒๕๖๗
รูปภาพจาก Facebook เข็มทิศชีวิต ฐิตินาถ ณ พัทลุง