ถึงเวลานายกเศรษฐา เคลียร์ปัญหาหมูเถื่อนอีกครั้ง

“หมูเถื่อน” เป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสและยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี กัดกร่อน หมูไทย ให้ค่อยๆ ล่มสลายลง น่าแปลกที่เรื่องนี้เป็นคดีดังระดับประเทศ แต่กลับไม่สามารถเปิดโปงโฉมหน้าคนร้ายผู้บงการใหญ่ได้เสียที ขณะที่จำนวนหมูเถื่อนจาก 2,385 ใบขน หรือราวๆ 60,000 ตัน ที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2564-2565 ถูกกระจายไปตามห้องเย็นต่างๆ ทั่วประเทศ และยังคงลอยนวลปะปนขายอยู่ในท้องตลาดจังหวัดต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช เข้าตรวจสอบห้องเย็นในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พบผู้กระทำความผิดและยึดอายัดซากสัตว์ได้กว่า 400,000 กิโลกรัม มูลค่าราว 35 ล้านบาทเศษ ในจำนวนนี้เป็นซากหมูเถื่อนถึงกว่า 182,000 กิโลกรัมที่ไม่สามารถแสดงแหล่งที่มาได้ … ไม่ว่าหมูจำนวนนี้จะอยู่ในล็อตเดียวกับ 2,385 ใบขนที่เข้ามาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หรือเพิ่งเข้ามาเมืองไทยขณะที่คดีหมูเถื่อนกำลังดัง มันก็สะท้อนได้ว่าประเทศไทยยังเต็มไปด้วยหมูเถื่อนครองเมือง หรืออีกนัยหนึ่งก็ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีปัญญาจะตามล่าตามล้างตามเช็ดให้หมูเถื่อนหมดไปจากสารบบได้จริงๆ จะเป็นเพราะเจอตอขนาดใหญ่ เจอนักการเมืองระดับชาติ หรือเจออะไรก็แล้วแต่ … มันก็ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่จะยอมรับได้ทั้งสิ้น

สิ่งที่น่ากังวล คือข่าวคราวความคืบหน้าของคดี “หมูเถื่อน” กำลังค่อย ๆ เงียบหาย ไม่มีความเคลื่อนไหวของคดีมาร่วม 1 เดือน ทั้งๆที่ DSI ตรวจพบการถ่ายเทเนื้อหมูเถื่อนใน “เขตปลอดอากร” จ.นนทบุรี จ.ระยอง และอีกหลายจังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องขออนุญาตจาก “กรมศุลกากร” จนทำให้สงสัยว่าบริษัทเจ้าของหมูเถื่อนที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เขตปลอดอากรเป็นพื้นที่กระทำผิดนี่คือใครกันแน่ รวมถึงลูกค้าของบริษัทนี้อีก 100 รายนั้น ประกอบด้วยใครกันบ้าง เป็นลูกค้าที่สมรู้ร่วมคิดหรือถูกหลอกขายของเถื่อนให้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องค้นหาความจริง

เขตปลอดอากร (Free Zone) หมายถึงพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งเขตปลอดอากรสามารถยื่นเรื่องขออนุญาตได้และต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี ในทางปฏิบัติจะมีลักษณะเหมือนการนำสินค้าเข้ามายังโรงงานหรือพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้เพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าแล้วส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าและขาออก

ทว่า “หมูเถื่อน” นั้นไม่มีการแปรรูปใดๆ แต่จะใช้พื้นที่ฟรีโซนที่ขออนุญาตจากกรมศุลกากรแล้ว เป็นพื้นที่ถ่ายเทของโดยจะมี “กองทัพมด” ทยอยขนหมูเถื่อนออกจากตู้คอนเทนเนอร์ ไปเก็บตามห้องเย็นนอกเขตปลอดอากร เพื่อเตรียมส่งให้ลูกค้าในประเทศไทย ขณะเดียวกันเมื่อขนถ่ายหมดแล้วจะทำทีเป็นส่ง “ตู้คอนเทนเนอร์เปล่า” ข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เสมือนมีสินค้าอยู่ข้างใน แล้วค่อยเวียนตู้เปล่ากลับมาไทยอีกครั้ง ทุกขั้นตอนมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ ดังปรากฏในบัญชีส่วยที่ DSI ยึดได้

คนที่ต้องตอบคำถามนี้คงหนีไม่พ้น ท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้นสังกัดของกรมศุลกากร ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวกับกรณีหมูเถื่อนไว้เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา…ไม่ทราบว่าวันนี้เหตุใดท่านจึงแผ่วการติดตามคดี เมื่อหัวไม่ขยับ หางก็ไม่เคลื่อน … เป็นที่มาของความเงียบงันและคดีไม่คืบ ยิ่งเมื่อมีการสืบสวนจนพบว่ามีการใช้ “เขตปลอดอากร” ในการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ คงถึงเวลาและจำเป็นแล้วที่ท่านนายกต้องลงมาเข้มงวดจริงจังกับลูกน้องในกรมศุลกากรอีกครั้ง โปรดช่วยทำให้กรมนี้ สะอาด โปร่งใส และเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือภายในยุคของท่าน ซึ่งเท่ากับช่วยป้องกัน ป้องปรามและปราบปรามปัญหาหมูเถื่อนตั้งแต่ต้นทางด้วย

ท่ามกลางกระแสข่าวหมูเถื่อนในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีการรณรงค์ส่งเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร รู้สึกมั่นใจว่าทางการจะปราบปรามหมูเถื่อนแบบถอนรากถอนโคนได้ภายในวันนั้นวันนี้ ทำให้เกษตรกรหลายฟาร์มทยอยลงหมูเข้าเลี้ยง เพราะเชื่อว่าหมูเถื่อนจะหมดไป มีตลาดรองรับผลผลิตเต็มที่และราคาหมูจะขยับไปคุ้มต้นทุน แต่แล้วการณ์กลับไม่เป็นดังคาด ทำให้เกิดปัญหาผลผลิตเริ่มล้นตลาด ในขณะที่หมูเถื่อนยังไม่หมด ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมาราคาหน้าฟาร์มของหมูไทยสามารถขยับไปได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนที่เกษตรกรประเมินไว้ที่ 80 บาท/กก. หนำซ้ำ ณ วันพระล่าสุด (17 ก.พ.67) ราคาก็ร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ 66 บาท/กก.

อันที่จริง ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ถือเป็นตัวแปรสำคัญในการคิดคำนวณ GDP หรือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประเด็นราคาสุกรที่ตกต่ำในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีส่วนทำให้ GDP ปี 2566 ของไทยเติบโตเพียง 1.8% ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นผลพวงจากการลักลอบนำเข้าสินค้าเนื้อสัตว์เถื่อนจำนวนมหาศาล

หากท่านนายกฯ หันกลับมาปราบปรามขบวนการหมูเถื่อนให้สิ้นซาก ควบคู่ไปกับการเจรจาให้ ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1 สลึงอย่างที่ทำอยู่ ก็จะเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ และดัน GDP ประเทศให้ดีขึ้นได้ พร้อมๆกับการช่วยต่อชีวิตเกษตรกรไทย ทั้งยังเป็นการปัดกวาดกรม กองของท่านให้สะอาดเอี่ยม … เรียกว่ามีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสียเลยครับ

โดย ปิติ ปัฐวิกรณ์

Written By
More from pp
เคที ซีมิโก้ รีแบรนด์เป็น “กรุงไทย ซีมิโก้” มีผล 17 มกราคม นี้
ผู้ถือหุ้น บล. เคที ซีมิโก้ มีมติเอกฉันท์ เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บล. กรุงไทย ซีมิโก้ และใช้ชื่อย่อเป็น KTZ เพื่อความชัดเจนเป็นบริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์...
Read More
0 replies on “ถึงเวลานายกเศรษฐา เคลียร์ปัญหาหมูเถื่อนอีกครั้ง”