ปั่นกระแส “คุก ๕๐ ปี” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

“วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร”
ไม่รู้ใครทำ?
ก็นึกตำหนิ ว่าจงใจ “จับผิด-เพ่งโทษ” เขามากไป!
มาเมื่อ ๑๘ มกรา.ที่ผ่าน
เห็นข่าวเว็บไซต์ “ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” หรือกลุ่มทนายขบวนการสามนิ้ว โพสต์

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
หลังศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุกคดี #มาตรา112 ของ “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของคดีในข้อหานี้ คือจำคุกถึง 50 ปี

และต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา อ้างว่าเกรงว่าเขาจะหลบหนี
ทั้งที่เขาเดินทางไปตามนัดเรื่อยมา ทำให้บัสบาสสูญเสียอิสรภาพไปตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมาฯลฯ”
………………………….

และลงบทสัมภาษณ์ “บัสบาส” เยี่ยงวีรบุรุษ ช่างสมวิสัย “ศูนย์ทนายสามนิ้ว” ยิ่งนัก!
ติดแฮชแท็ก ตรงข้อความซะด้วย

#มาตรา112 ของ “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของคดีในข้อหานี้ คือจำคุกถึง 50 ปี

คือหยิบเลข “๑๑๒” กับ “คุก ๕๐ ปี” มาแทงตา เพื่อให้ไปแทงใจตรงคำว่า “สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของคดีในข้อหานี้”

ง่ายดีเนอะ…..
หยิบ “ผล” มาใช้ประโยชน์ทางปลุกเร้าโดยไม่แจงว่า ๕๐ ปีนั้น มาจาก “เหตุ” อะไร?

ก็สมที่เป็น “ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” (สามนิ้ว)!

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นคุยวันนี้
หากแต่อยู่ที่ “นายวีรนันท์ ฮวดศรี” สส.ขอนแก่น พรรคก้าวไกล หรือที่เรียกกันว่า “พรรคส้ม-สามนิ้ว”
มาตะเภาเดียวกับทนายสามนิ้ว โชว์วาทกรรมเลย

“โทษจำคุก ๕๐ ปี ถือเป็นโทษสูงสุดที่ศาลได้พิพากษาความผิดตามมาตรานี้
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ภาคส่วนต่างๆ จะหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายคดีที่อยู่ในศาล อยู่ชั้นตำรวจ และที่จบไปแล้วนั้น
มูลเหตุจูงใจของการกระทำมาจาก “มูลเหตุทางการเมือง”

เมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากมูลเหตุทางการเมือง
เราก็ควร “ใช้การเมือง” คลี่คลายและหาทางออกของสถานการณ์นี้

และลงท้าย สส.ก้าวไกลคนนี้ ก็พูดคำโต

“ผมไม่อาจทนเห็นผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออก ต้องเดินเข้าคุกและจากไปทีละคน และหากไม่มีความชัดเจนเรื่องการนิรโทษกรรม เมื่อวันนั้นมาถึง ก็สายเกินกว่าจะมาคุยกันในเรื่องนี้แล้ว”

เท่อ่ะ….
เป็นสส.น่ะดีแล้ว อย่าเป็นราชสีห์ไม่มีขน แต่พยายามพองขนเลย

วันนั้นของคุณ มันคือวันไหน ที่ว่าสายเกินกว่าจะมาคุยนั่นน่ะ บอกให้ชื่นสะดือซิ?

ที่เคยนึกตำหนิคนทำเพจ “วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” พอฟังสส.นายนี้พูด เออ…มันจริงของเขา

คุณเป็นสส.ก้าวไกล บัสบาส ที่ถูกจำคุก ๕๐ ปี มันก็ขบวนการเดียวกับก้าวไกล การจะช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องปกติ

แต่ด้วยสำนึกคนเป็น “สมาชิกสภานิติบัญญัติ” ได้กล่าวคำปฎิญานตนก่อนปฎิบัติหน้าที่

การ “รวบหัว-รวบหาง” หยิบเฉพาะโทษ ๕๐ ปี มาตีฟองลักษณะนี้

คุณเจตนาสร้างทัศนคติต่อ “พระมหากษัตริย์” ผู้เป็นองค์พระประมุขของชาติ ผ่านมาตรา ๑๒๒ ให้ประชาชนและชาวโลกเข้าใจไปทางไหน หือ?

“พระมหากษัตริย์” น่ะหรือ เป็น “มูลเหตุทางการเมือง”?

“การก้าวล่วงต่อพระมหากษัตริย์น่ะหรือ เป็นความเห็นต่างทางการเมืองที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออก”?

ผมเข้าใจ “ความคิด” ห้ามกันไม่ได้

แต่การทำและการพูดจาควรอยู่ในกรอบกฎและใช้ความรับผิดชอบให้มากกว่า “ม็อบรับจ้าง” ตามถนน

โทษคุก ๕๐ ปี ของบัสบาสนั่นน่ะ มันไม่ใช่การกระทำที่ผิดตามมาตรา ๑๑๒ หนเดียว

คุณเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ คุณต้องรู้ มาตรา ๑๑๒ เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามหมวด ๑ ของรัฐธรรมนูญ

มีโทษอาญา ……..

ซึ่งไม่เฉพาะประเทศไทย สหรัฐ, อังกฤษ และประเทศไหนๆ เขาก็มีบทลงโทษอาญากับผู้ก้าวล่วงเหมือนกันทั้งนั้น

มันไม่ใช่ “คดีการเมือง”
ที่จะมาอ้าง “ความเห็นต่างทางการเมือง” แล้วพูดหลอกควายตามทุ่ง ว่า ……..

“การก้าวล่วงพระมหากษัตริย์เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออก” อย่างที่คุณแสดงโวหาร

ที่จงใจหยิบคุก ๕๐ ปี ไปเน้นมาตรา ๑๑๒ นั้น ผมจะตั้งโจทย์ให้สส.วีรนันท์ ช่วยตอบหน่อย

สมมติ คุณไปกินข้าวแกงจานละ ๓๐ บาท แต่คุณหยิบไข่ดาว หยิบปลาทู มาแนมหัวจาน

ยังไม่อิ่ม เอาจานใบเดิม ไปตักข้าว-ตักแกงเพิ่ม หยิบห่อหมก หยิบน่องไก่ พาดหัวจานมาอีก

อาหารร้านนี้ อร่อยปาก ……
ก็ไปตักข้าว-ตักแกงเพิ่มอีก ล่อไข่ดาวมาอีก ๓ ลูก กุนเชียงอีก ๒-๓ ดุ้น ชักเลี่ยน ไปคีบทอดมัน ราดน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ เผ็ดๆมาอีก ๕-๖ ชิ้น

แล้วควัก ๓๐ บาท จ่ายแม่ค้า บอกว่ากินจานเดียว!

จานเดียวของคุณ แต่ตัก ๓-๔ รอบ ทั้งแกง ทั้งปลาทู ไข่ดาว กุนเชียง ห่อหมก ทอดมัน ทั้งหมด แม่ค้าคิด ๒๐๐ บาท
คุณก็หยิบ ๒๒๐ บาทนั้น ไปโวย….

“ข้าวแกงร้านนี้ หน้าเลือด จานเดียว ๒๐๐ บาท ต้องพังร้านทิ้ง”!

ที่คุณพูด คุก ๕๐ ปีนายบัสบาส สูงเป็นประวัติการณ์ก็ทำนองนี้เปี๊ยบ

นายบัสบาส ช่วงสามนิ้วคะนองเมือง ทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา ๑๔ (๓)
จากการโพสต์เฟซ “รวม ๒๗ โพสต์”!

เห็นมั้ย ผิดครั้งเดียว ติดคุก ๕๐ ปีซะที่ไหนล่ะ
มั้นตั้ง ๒๗ โพสต์ คือ ๒๗ ครั้ง!

๒๖ มค.๖๖ คือปีที่แล้ว….
“ศาลจังหวัดเชียงราย” คือศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เห็นว่า ๒๗ โพสต์นั้น
เป็นความผิด ๑๔ ข้อความ อีก ๑๓ ข้อความ “ยกฟ้อง”

ตัดสินลงโทษจำคุกกระทงละ ๓ ปี
ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้เหลือกระทงละ ๒ ปี

ทั้งหมด ๑๔ กระทง รวมโทษจำคุก ๒๘ ปี

เห็นชัดๆ อย่างนี้แล้ว ยังจะเอาความจริงครึ่งเดียวมาพูดบิดเบือนว่า “สูงเป็นประวัติการณ์” อีกมั้ยล่ะ?

ที่ว่าสูง เพราะจงใจหยิบตัวเลขมาปั่น เพื่อสร้าง “ทัศนคติปฎิปักษ์” ให้เกิดกับศาลและพระมหากษัตริย์มากกว่ามั้ง?

คดีนี้ ทั้งโจทก์คืออัยการ ทั้งจำเลยคือบัสบาส อุทธรณ์
และ ๑๘ มกรา.๖๗ นี่เอง
“ศาลจังหวัดเชียงราย” อ่านคำพิพากษา “ศาลอุทธรณ์ ภาค ๕” วินิจฉัยในประเด็นอุทธรณ์ของนายบัสบาสจำเลย สรุปได้ว่า………

“การกระทำของจำเลยในส่วนของการโพสต์ ๑๔ ข้อความดังกล่าว
ศาลเห็นว่า สามารถใช้ความรู้สึกและเข้าใจของวิญญูชนทั่วไป ก็เข้าใจได้ว่า จำเลยมีเจตนาอย่างไร

จำเลยย่อมทราบดี ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยประชาชนไทยให้ความเคารพสักการะทรงเป็นประมุขของประเทศ

บุคคลผู้ให้ความเคารพสักการะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่กระทำการอันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์

การที่จำเลยใช้ถ้อยคำที่จำเลยเองก็ยอมรับว่าหยาบคายลงในเฟซบุ๊ก ลงภาพการทำให้พระบรมฉายาลักษณ์เสียหาย
หรือภาพล้อเลียนรูปพระพักตร์ หรือภาพที่แสดงถึงความไม่เคารพ

วิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า ………
จำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความเกลียดชังต่อองค์พระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติยศ

ไม่อาจเข้าใจได้ว่า…..
เป็นการแสดงออกทางการเมืองในเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นการล้อเลียนเชิงวิพากษ์

และไม่อาจเข้าใจว่า จะไม่ได้ทำให้พระมหากษัตริย์เสียหาย

ศาลอุทธรณ์ จึงเห็นว่าโพสต์ทั้ง ๑๔ ข้อความ เป็นความผิดตามฟ้องของโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนในประเด็นอุทธรณ์ของโจทก์นั้น
ศาลเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าความผิดตามมาตรา ๑๑๒ นั้น ต้องเป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินีในรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น

โดยข้อความ ๙ โพสต์ของจำเลย เป็นการกล่าวถึงรัชกาลที่ ๙ จึงขาดองค์ประกอบความผิด

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า……..
ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 6374/2556 วางหลักของความผิดตามมาตรา ๑๑๒ พระมหากษัตริย์มิได้หมายความเฉพาะพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ในขณะที่มีการกระทำความผิดเท่านั้น

แต่หมายความรวมถึงพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว หรือมิได้ทรงครองราชย์ต่อไปแล้วด้วย

ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้ง ๙ โพสต์ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้

ส่วนโพสต์ข้อความอีก ๒ โพสต์ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ปรากฏแน่ชัดว่า จะหมายถึงพระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันหรือไม่นั้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อเข้าใจโดยชัดแจ้งว่า จำเลยได้กล่าวว่าองค์พระมหากษัตริย์ให้เสียหาย
จึงเห็นว่า “มีความผิดตามฟ้อง”

แต่ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโพสต์อีก ๒ ข้อความ ที่เห็นว่ามิได้สื่อความหมายให้ผู้อ่านมีความรู้สึกดูหมิ่น หรือเกลียดชังพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ จึงเห็นว่า….
จำเลยมีความผิดในอีก ๑๑ กระทง ที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ลงโทษจำคุกกระทงละ ๓ ปี

จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษลงหนึ่งในสาม เหลือจำคุกกระทงละ ๒ ปี
รวมจำคุก ๒๒ ปี

เมื่อรวมกับโทษจำคุก ๒๘ ปี ในอีก ๑๔ กระทงก่อนหน้านี้ รวมเป็นโทษจำคุกรวม ๕๐ ปี

เป็นไง………
เมื่อรู้ว่าคุก ๕๐ ปีนั้น ไม่ใช่จากผิดหนเดียว แต่จากโพสต์หมิ่นพระมหากษัตริย์ด้วยจงใจถึง ๒๕ ครั้ง

แบบนี้…ไม่ตัดหัวทิ้งก็บุญแล้ว!

เปลว สีเงิน
๒๒ มกราคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
“ลาวกระทบไม้-ลาวดวงเดือน” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน วันนี้ หายหน้าจากไทยโพสต์ “ฉบับกระดาษ” ๑ วันครับ ป่วยนิด ติดธุระหน่อย การพิมพ์เขาไม่คอย เลยต้องมาโหนต่องแต่งในหน้าเว็บแทน! เรื่องคุยมีเยอะ...
Read More
0 replies on “ปั่นกระแส “คุก ๕๐ ปี” – เปลว สีเงิน”