เปลว สีเงิน
เมื่อ “ท้าวสหัมบดีพรหม” เสด็จมาบูชา “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร”
และสถิตประทับ ณ ดวงเมืองสยามประเทศ ขณะนี้
ใครๆ ที่เคยตัดพ้อ…
“ทำดี-ได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วกลับได้ดีมีถมไป” นั้น
ถึงเวลาพิสูจน์ให้รู้กันแล้วว่า ที่พูดนั้น “จริง-ไม่จริง”?
เพราะเมื่อเทพเจ้าแห่งคุณธรรมสถิต
ชนชาวมิถึงชั้น “บัวใต้ตม” ที่เคย “เห็นผิดเป็นชอบ” ก็จะกลับมา “เป็นชอบตามชอบ-เห็นผิดตามผิด”
“กังฉิน-กินชาติ” ถึงคราววิบัติ “ตงฉิน-เพื่อชาติ” ถึงคราวอุบัติ
ผู้ใช้กฎหมาย จะเข้มแข็ง
กระบวนการยุติธรรม จะยุติโดยธรรม
ที่คืนยืนยง คือคนดี ที่ย่อยยับอัปรีย์ คือคนคด
พวกทรยศกบฏชาติ พวกฉ้อราษฎร์-บังหลวง ส่วนหนึ่งนรกทวงตัวกลับ อีกส่วน จะย่อยยับปราชัย
เหล่าเทิดไท้แลคุณธรรม “ท้าวสหัมบดีพรหม” จะสาธุการ
“บ้านเป็นบ้าน-เมืองเป็นเมือง”
คนชั่วร้าย จะถูกสังคมชาติควบคุมมิให้มีอำนาจ คนดีมีศีลธรรมจะผงาดนำประเทศ
ที่ “แยกข้าง-แบ่งฝ่าย” จะรวมใจกันเป็นหนึ่ง
หลังจากวิบัติใหญ่ “อย่างใด-อย่างหนึ่ง” อันไม่มีเค้าลางล่วงหน้า ซึ่งจะมีมาให้เห็นต่อจากนี้
ผมไม่ได้ตั้งใจเป็น “โหราพญาเดา” หรอกนะ เพียงตั้งต้นจะคุย วูบแห่งความนึก มันก็พานิ้วจิ้มแป้นคอมฯ คุยไปเรื่อย
ไม่ต้องไป “เชื่อ-ไม่เชื่อ”
แต่อยากให้มั่นใจไว้อย่าง ว่าบ้านเมืองไทย ถ้าไม่มี “พระ” คุ้มรักษา
ในขณะที่พวกเรา “ไทยด้วยกัน” แยกข้าง-แบ่งฝ่าย “กัดกัน” ยังกะหมาเป็นทศวรรษ เป็นประเทศอื่นมิรู้จะยืนอยู่ไหวมั้ย?
แต่บ้านเมืองไทย ตระหง่าน ยังกะ “เสาไฟกินรี”
ไม่มีหวั่นไหว เครดิตประเทศยั่งยืน-มั่นคง การเงินแข็งแกร่ง “เศรษฐกิจ-การค้า” ประคองตัวได้ ชนิด “ดีมาก/ดีน้อย”
ส่วนเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน ก็ด่ากันไป-กิน-ดื่ม-ยืม-กู้ สู้กันไป
จะตาย…จะตาย….
แต่ไทยก็รอด แถม “รุ่ง” แบบทะลุฟ้ามาได้ทุกครั้ง จนชาวโลก-ชาวเมืองกังขา ว่าประเทศไทยมี “ของดี” อะไรซักอย่าง?
ใช่ “ของดี” ที่ว่านั้น คือ “พระรักษา” นั่นไง
นอกจาก พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ, พระคริสต์คุณ และพระอัลเลาะห์คุณ แต่ละศาสนาที่อยู่รวมเป็นศานติไทยแล้ว
ก็ยังมี “พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช ท้าวสักกเทวราช ท้าวมหาพรหม ท้าวจาตุโลกบาล ท้าวเวสสุวรรณ เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อพระกาฬไชยศรี”
และ “พระมหากษัตริย์” ที่ทรง “ทศพิธราชธรรม”
นี่แหละ คือ “ของดี” ที่อภิบาลรักษา “ประเทศไทย-คนไทย” ตลอดมา
อะไรที่ร้ายนัก ก็คลายลง, ที่ดี ก็ดียิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งเป็นอะไรที่ “ตาเนื้อ” มองไม่เห็น”
แต่สัมผัสได้ด้วย “ตาใจ” ที่เปิดด้วย “สัมมาสติ” และ “สัมมาทิฐิ” มีอยู่ตามธรรมชาติ อันมิได้มีคำว่า “ศาสนา” ใด เป็นกรอบกีดกันการเข้าถึงของคนในแต่ละศาสนา!
“ศาสนา” นี่ ทำโลกมนุษย์เปิดกว้างสู่ความดีงาม
แต่มนุษย์เรานี่แหละ นำคำว่า “ศาสนา” เป็นกรงแยกขังทำให้ทางไปสู่ความดีงามแคบเอง
เมื่อวาน (๑๗ มค.๖๗) มีหลายเหตุการณ์ในบ้านเราน่าสังเกตนะ
ตอนบ่ายๆ โรงงานพลุที่ “สุพรรณบุรี” ระเบิด ข่าวว่า คนงานเสียชีวิตตั้ง ๒๐-๒๓ ศพ!
เคราะห์ดีนิด เป็นโรงงานตั้งโด่งเด่งกลางทุ่ง-กลางนา ห่างชุมชน จึงบาดเจ็บ-ล้มตายเฉพาะคนในโรงงาน
“เสียเลือด-เสียชีวิต” กันไป มากมายคิดไม่ถึง
บ่ายเดียวกัน ถึงเวลาคดี “ข้ามทศวรรษ” ที่ “ศาลชั้นต้น” ตัดสิน คือคดี “พันธมิตรชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง” เมื่อปี ๒๕๕๑
บางคนลืมไปแล้วว่าสมัยไหน ใครบ้างที่ถูกฟ้อง?
ก็คุณสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรีจำลอง ศรีเมือง และอีกหลายคนที่เป็นแกนนำ “พันธมิตร-เสื้อเหลือง” นำชุมนุมต่อต้านรัฐบาลสมัคร-รัฐบาลสมชาย “นอมินีทักษิณ” นั่นไง
อัยการสั่งฟ้องร่วม ๒๐ ข้อหา ทั้งบุกรุก, ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กบฎ, ก่อการร้าย, ซ่องโจร,
ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ทำร้ายเจ้าพนักงาน, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, กักขังหน่วงเหนี่ยว อีกเยอะแยะ
จำเลยทั้งหมด ๓๑ ราย
ไปฟังคำตัดสินกันพร้อมที่ศาลอาญา ไม่มาเพราะป่วยอยู่โรงพยาบาล ๒ คน คือพลตรีจำลอง ศรีเมือง กับนายเทิดภูมิ ใจดี
สรุป ศาลมีคำพิพากษาว่า…….
ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑-๕ และ ๗-๑๓ มีความผิดฐานบุกรุกฯ และข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘
เป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ ที่เป็นบทหนักสุด
ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ ๑-๕, ๗-๑๓ คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท
ยกฟ้องข้อหาก่อการร้าย, ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานฯ และข้อหาอื่น
จำเลยที่ ๑ ถึง ๓๑ ใครเป็นใครบ้าง อ่านดู
๑) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ๒) นายสนธิ ลิ้มทองกุล
๓) นายพิภพ ธงไชย ๔) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
๕) นายสุริยะใส กตะศิลา ๖) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (เสียชีวิต)
๗) นายศิริชัย ไม้งาม ๘) นายสำราญ รอดเพชร
๙) นางมาลีรัตน์ แก้วก่า ๑๐) นายสาวิทย์ แก้วหวาน
๑๑) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ ๑๒) นายชนะ ผาสุกสกุล
๑๓) นายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์
๑๔) นายประพันธุ์ คูณมี (วุฒิสมาชิก) ๑๕) นายเทิดภูมิ หรือเกิดภูมิไท ใจดี
๑๖) น.ส.อัญชะลี หรือปอง ไพรีรัก ๑๗)นายพิชิต ไชยมงคล ๑๘)นายบรรจง นะแส
๑๙) นายสุมิตร นวลมณี ๒๐) นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ
๒๑) นายสมบูรณ์ ทองบุราณ ๒๒) นายอธิวัฒน์ บุญชาติ ๒๓)นายจำรูญ ณ ระนอง
๒๔) นายแสงธรรม หรืออาร์ท ชุนชฎาธาร ๒๕) นายไทกร พลสุวรรณ ๒๖) นายสุชาติ ศรีสังข์ ๒๗) นายอำนาจ พละมี
๒๘) พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ๒๙)นายกิตติชัย หรือจอร์ส ใสสะอาด ๓๑ นายเกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา
๓๑)บ.เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด
อีกคดี ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” บ่ายวาน
มีคำวินิจฉัยกรณี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรมว.คมนาคม ถูกร้องว่า
ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น
เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๕) หรือไม่?
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ๗:๑ วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๕)
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า หุ้นของ “ห้างหุ้นส่วนบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ
และ “นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์” พนักงานห้าง หุ้นดังกล่าวถืออยู่นั้น แท้จริงยังคงเป็นหุ้นของนายศักดิ์สยาม
ศาลฯ มีคำสั่งให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยามสิ้นสุดลง นับตั้งแต่วันที่ ๓ มี.ค ๖๖ ที่ศาลมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยามหยุดปฏิบัติหน้าที่
นายศักดิ์สยาม เป็นเลขาฯ พรรคภูมิใจไทยและสส.ปาร์ตี้ลิสต์ หลังทราบคำวินิจฉัย “ลาออก” ทั้ง ๒ ตำแหน่ง
“หยุดปฎิบัติหน้าที่” มีกำนด ๒ ปี จาก ๓ มีค.๖๖ จนถึง ๓ มีค.๖๘ นั่นคือ ต้อง ๔ มีค.๖๘ ไปแล้ว ค่อยมาเจอกันใหม่
อีกเรื่อง ในวันเดียวกัน ที่ต้องบันทึก
ราชทัณฑ์แถลง “ส่งสัญญาน” แล้ว ว่านักโทษทักษิณเข้าเกณฑ์พิจารณาพักโทษ โดย “นายสิทธิ สุธีวงศ์” รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นผู้แถลง
“…..คุณสมบัติของนายทักษิณ หากดูจากหลักเกณฑ์ที่ว่าเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง สูงวัย และมีอาการเจ็บป่วย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาในโครงการพักการลงโทษ กรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ ๗๐ ปีขึ้นไป
แต่อย่างไร ณ วันนี้ ทางกรมยังไม่ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงยังไม่มีข้อมูลตรงนี้
ส่วนกระบวนการ หากนายทักษิณผ่านเข้าโครงการดังกล่าวจริง จะเป็นการดำเนินการโดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
…………ระบบพักการลงโทษ
หากผู้ต้องขังรายใดเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ตามขั้นตอนแล้ว ต้องมีรายชื่อผู้อุปการะ ซึ่งกรมคุมประพฤติจะต้องไปสืบเสาะว่าใครจะเป็นผู้อุปการะผู้ต้องขัง
เมื่อพักโทษจะประกอบอาชีพอะไร ต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติอย่างไรบ้าง
หรือกำหนดอาณาเขตว่า ห้ามพ้นรัศมีเท่าใด หรือห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
ส่วนบทบาททางการเมือง ระหว่างการพักโทษ สามารถกระทำได้ หากไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไปทำอะไรที่ผิดระเบียบ”
ครับ….
ไม่น่าเกิน ๒๒ กุมภา. “เดือนหน้า” ทักษิณก็จะได้พักโทษ กลับไปนอนบ้าน
ก็ยินดีด้วย ๑ เดือนนับจากนี้ เป็น “โอกาสทอง” สุดท้าย ในทาง ๒ แพร่ง ที่ทักษิณจะต้องตัดสินใจ จะเดินแพร่งไหน?
-แพร่งเพื่ออนาคตอุ๊งอิ๊งและพรรค หรือ
-แพร่งเพื่อผลักตัวเองสู่หุบเหวอย่างเท่ๆ?
เปลว สีเงิน
๑๘ มกราคม ๒๕๖๗