สันต์ สะตอแมน
“มีแต่คุณทักษิณยอมอยู่ในคุกอย่างเท่าเทียมกับนักโทษคนอื่นๆเท่านั้น ที่จะทำให้บ้านเมืองไม่วุ่นวาย ไม่มีเลือดตกยางออก และไม่นำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้ง”
ก็..คอยดู นช.ทักษิณจะเชื่อ-ทำตามที่รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แนะ หรือยังจะทำตัวเป็น “นักโทษเทวดา” อยู่ต่อไป?
ส่วนข้อเสนอของคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ว่า.. “การลดโทษเหลือติดคุกไม่ถึง 1 ปี เมื่อนักโทษเป็นคนแก่ ผู้สูงอายุ มีโรครุมมากมาย ต้องรักษาตัว
ถ้ามีพระราชทานอภัยโทษทั่วไปอีก ย่อมได้รับสิทธิ์ให้พักโทษได้โดยปริยายทันที
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ควรเร่งดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษทั่วไปในปี 2566 เพื่อให้ทักษิณ ได้รับการพักโทษ ออกจากคุกกลับบ้านได้โดยเร็ว
เพราะเป็นไปตามระเบียบที่ถูกต้องอยู่แล้ว อีกอย่าง สถานการณ์จะคลี่คลายได้โดยเร็วขึ้น ไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีกเลย..
รีบให้เขาเถอะ จะได้พักโทษโดยเร็ว เมื่อไหนๆ ก็ไม่ยอมเข้าคุกอีกแล้ว รัฐบาลควรประกาศขอพระราชทานอภัยโทษทั่วไปโดยเร็ว เพราะทักษิณ อยู่ รพ.ตำรวจ คนยิ่งสงสัยกันมาก
และอาจทำให้หมอ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดือดร้อนอีกด้วย ดังนั้น จึงควรยุติประเด็นนี้เสียเลยให้สิ้นกระบวนความกันไปเลย และไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อนอีก” นั้น
พยายามอ่านอย่างตั้งใจ ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี เป็นความหวังดีด้วยบริสุทธิ์ หรือ หวังดี ประสงค์ร้าย..ก็ให้คุณเศรษฐา-พรรคเพื่อไทย ตัดสินใจเอาล่ะกัน!
แต่นี่ หวังดีไม่ต้องกังขา ผมหมายถึงกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ที่ได้ทำโครงการการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่น
สู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Tasts” ประจำปี 2566 ขึ้น
เพื่อเป็นการรวบรวมเมนูอาหารถิ่นที่กำลังจะเลือนหายที่หารับประทานได้ยาก เพื่อยกระดับ พัฒนา สร้างสรรค์เป็นอาหารประจำจังหวัด
ผลักดันให้เป็นเมนูซอฟต์เพาเวอร์ ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้หนุนเศรษฐกิจของท้องถิ่นและประเทศให้ยั่งยืน
และได้ประกาศรายชื่อ 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ให้ทั้งคนใน-นอกพื้นที่ได้ลิ้มชิมรสชาติที่(อาจ)ไม่คุ้น ไม่รู้จักและไม่เคยได้สัมผัสลิ้นมาก่อน
อย่างผม คนใต้แท้ๆ..แต่รายชื่ออาหาร 14 เมนู จาก 14 จังหวัดที่สวธ.คัดสรรมานั้น สารภาพตามตรงว่า แค่ชื่อ (อาหาร) ก็ไม่เคยได้ยิน
เช่น.. “ปลาจุกเครื่อง” ของจ.กระบี่ งี้ “โกยุก” จ.ตรัง งี้ “ขนมปะดา” จ.นครศรีธรรมราช งี้ “อาจาดหู” จ.พังงา งี้ “น้ำซุปเมืองหลาง 9 อย่าง” จ.ภูเก็ต งี้ “แกงขมิ้น” จ.พัทลุ งี้
หรือจะเป็น “ก๊กซิมบี้” ของจ.ระนอง “ข้าวเหนียวเหลืองแกงแพะ” จ.สตูล “อาเกาะ” จ.นราธิวาส “แกงส้มหยวกกล้วยกับหมูสามชั้น” จ.ชุมพร “แกงขมิ้นไตปลาโบราณ” จ.สุราษฏร์ฯ..
มีเท่าที่คุ้นลิ้นอยู่ก็ “ข้าวยำ” ของจ.ปัตตานี “ข้าวสตู” จ.สงขลา ส่วน “ข้าวยำโจร” ของจ.ยะลา พับผ่าเถอะ ตอนเด็กพอได้ยินอยู่บ้าง แต่ห่างมา 40-50 ปี ลืมสนิทไปเลย!
นี่..เห็นต้องขอบคุณผู้สื่อข่าวผู้จัดการออนไลน์ที่ได้ลงพื้นที่ (ยะลา) ค้นหาต้นกำเนิดแหล่งที่มาของเมนูจานนี้ พร้อมบรรยายให้รู้ว่า..
ข้าวยำโจร หรือข้าวยำสมุนไพร บางพื้นที่เรียกว่าข้าวยำยา เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่นำเครื่องเคียง สมุนไพรหลากหลายชนิดมาประกอบเป็นอาหาร ไม่ปรากฏว่าจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนเมื่อไหร่
วิธีการประกอบ “ข้าวยำโจร” 1.ขมิ้นโขกละเอียด 2.สมุนไพรเจ็ดมูลเพลิง 3.พริกไทยสด 4.พริกไทยแห้งโขลกละเอียด 5.ใบพาโหม 6.ใบมะกรูด 7.ใบมะนาว 8.ใบขมิ้น
9.ดอกดาหลา 10.น้ำบูดู 11.ปลาต้มสุกแกะเนื้อ 12.ข้าวสวย และ 13.หัวกระชาย
แหม..พูดแล้วน้ำลายสอ อ้อ..จะโจร-ไม่โจรก็กินได้ หรือนช.ทักษิณสนใจอยากลิ้ม..
ผมอาสาหิ้วไปให้พร้อมโอเลี้ยงเลย..เอา!