นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูก ทำให้ในหลายพื้นที่มีความต้องการน้ำเพื่อการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรที่อาศัยน้ำฝนมีปริมาณและการกระจายของฝนน้อยประกอบกับน้ำต้นทุนในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวมถึงแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีปริมาณลดน้อยลง
จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ สถานการณ์ “เอลนีโญ” มีแนวโน้มแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2566 และต่อเนื่องจนถึงปี 2567 จึงสั่งการให้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงทั่วประเทศ 11 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อเร่งทำฝนในช่วงปลายฤดูฝนโดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง บริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ ที่เป็นที่ราบขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 2 ล้านไร่ ในรอยต่อ 5 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และยโสธร
ขณะนี้เกษตรกร มีการเพาะปลูกข้าวนาปี ซึ่งอยู่ในระยะที่ข้าวมีความต้องการน้ำมาก เช่นเดียวกับนาข้าวในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง รวมถึงสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งของภาคใต้ ทั้งนี้ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อมปฏิบัติการทำฝนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและเพิ่มปริมาณน้ำให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ
อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 หน่วยปฏิบัติการทั่วประเทศทั้ง 11 หน่วยฯ จะสามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตาก และพิษณุโลก ภาคกลาง ที่จังหวัดลพบุรีและกาญจนบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมาและจังหวัดสุรินทร์ ภาคตะวันออก ที่จังหวัดระยอง และภาคใต้ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดนครศรีธรรมราช
การปฎิบัติการฝนหลวงครั้งนี้ ได้นำเทคนิคตามตำราฝนหลวงพระราชทานมาช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์เอลนีโญที่มีความชื้นในอากาศต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัด จัดหาแหล่งเก็บกักน้ำ หรือภาชนะสำรองน้ำไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ ประชาชน เกษตรกร สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารแจ้งสถานการณ์ความต้องการน้ำเพื่อขอรับบริการฝนหลวงได้เป็นประจำทุกวันที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภูมิภาค อาสาสมัครฝนหลวงในพื้นที่ หน่วยงานอำเภอ/จังหวัด หมายเลขโทรศัพท์ 0-2109-5100 ต่อ 410