ผักกาดหอม
๘ ปีไม่มีผลงาน
ฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลุงตู่ สร้างวาทกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อดิสเครดิตทางการเมือง ให้เกิดภาพรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ไม่เอาไหน ทำงานไม่เป็น
มีคนเชื่อเยอะครับว่า ๘ ปี “ลุงตู่” ไม่มีผลงานอะไรเลย
ที่จริงมันก็ย้อนแย้งในแง่ของเงื่อนเวลา
ถ้าจะถามกลับว่าอยู่มา ๘ ปี โดยไม่มีผลงานอะไรเลย ก็แสดงว่าฝ่ายตรวจสอบรัฐบาล นอนหลับอยู่หรืออย่างไร ถึงไม่ยอมจัดการรัฐบาลที่ไม่ทำอะไรเลยนานตั้ง ๘ ปี
ฝ่ายค้านหายหัวไปไหน?
หรือฝ่ายค้านไร้ประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
ครับ…คนทำดี ทำเลว มันประจักษ์ด้วยสายตา แต่หลายๆ คนก็ไม่เชื่อตาตัวเอง
คือสมองไม่ซื่อสัตย์กับตาตัวเอง
โครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ สนามบิน เปลี่ยนโฉมหน้าภาคอีสานไปมากพอควร
ทั้งหมดก็เพิ่งจะเกิดในห้วงเวลา ๘ ปีที่ผ่านมา
ใน กทม. โครงสร้างพื้นฐานขึ้นพรึ่บไปหมด โดยเฉพาะรถไฟฟ้า
ตาเห็นว่าในรอบ ๘ ปี รถไฟฟ้าโผล่มาหลายสาย แต่สมองสั่งว่า อย่าไปให้เครดิตมัน ต้องไล่มัน
คนแบบนี้มีเยอะครับ!
จำนำข้าวฉิบหายไปกี่แสนล้าน รัฐมนตรีติกคุก นายกฯ หนี มันก็เห็นด้วยตา แต่สมองสั่งว่าพวกเดียวกัน ช่างหัวมัน ไล่คนที่อยู่ ๘ ปีดีกว่า
มันเป็นเรื่องไร้สาระที่ต้องเดิมพันด้วยอนาคตของประเทศไทย ในวันที่้ ๑๔ พฤษภาคมนี้
ถามพรรคเพื่อไทยดังๆ ปากบอกรัฐบาลอยู่มา ๘ ปี ไม่ทำอะไร แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยถึงต้องหาวิธีเลี่ยง ไม่ให้นโยบายตัวเองไปซ้ำกับผลงานรัฐบาล
เรื่อง เงินดิจิทัลวอลเล็ต นี่แหละครับ
ก่อนนี้ “โทนี่แม้ว” สุมหัวกับลูกสมุนพูดเรื่องสังคมไร้เงินสดในเฟซบุ๊กไลฟ์อยู่บ่อยครั้ง เงินดิจิทัลวอลเล็ต ก็น่าจะมาจากทักษิณคิด เพื่อไทยทำนี่แหละ
แต่ปัญหาคือ จะหลบ “เป๋าตัง” ของรัฐบาลลุงตู่ อย่างไร
มันจึงเป็นที่มาของการอธิบาย นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แบบกระท่อนกระแท่น ทั้งเรื่องวิธีการและที่มาของเงิน
น่าหัวเราะมั้ยครับ ด่ารัฐบาลไม่มีผลงาน แต่กลัวนโยบายตัวเองจะไปซ้ำกับผลงานที่รัฐบาลสร้างมา
ผลงานที่สร้าง ไม่ใช่ผลงานดาษๆ นะครับ
เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินของคนไทย จากใช้ธนบัตรเป็นหลัก ให้กลายเป็น สังคมไร้เงินสด
วานนี้ (๒๐ เมษายน) พรรครวมไทยสร้างชาติ เผยแพร่คลิปนโยบายพรรคใช้ในการหาเสียงล่าสุด
คือ “แคชเลสโซซ้ายตี้”
เพื่อฉายภาพว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดนานแล้ว เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทันสมัย ที่รัฐบาลลุงตู่ทำไว้
ส่งผลให้ คนตัวเล็ก หลากหลายอาชีพตั้งแต่ วินมอเตอร์ไซค์ พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหาร แท็กซี่ เลิกรับเงินสด แล้วเปลี่ยนมาเป็นสแกนคิวอาร์โค้ด กันเยอะแล้ว
มากพอที่จะกล่าวได้ว่า ไทยเข้าสู่ยุคสัมคมไร้เงินสด ในลำดับต้นๆ ของโลก
ที่สำคัญคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เวลาอันรวดเร็ว
ในโทรศัพท์มือถือของทุกคน ไม่ว่าจะชอบรัฐบาล หรือเหม็นขี้หน้าลุงตู่ ล้วนมีแอป “เป๋าตัง” ด้วยกันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องที่เห็นด้วยตาครับ
ไม่ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์
เงินดิจิทัลวอลเล็ต ของพรรคเพื่อไทย พยายามจะลอก “เป๋าตัง” แต่มันหนียาก ยิ่งทำให้ต่างก็อธิบายให้เข้าใจไม่ได้
กลับไปดูการประกาศนโยบายพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ซิครับ
เล่นใหญ่จริงๆ
ประกาศนโยบาย “ประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน” เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยระดมทุนจากทั่วโลกโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคารแบบเดิม
ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไปได้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่สร้างด้วยบล็อกเชน ใช้เงินดิจิทัล ที่เป็นเหรียญ ที่ได้รับจากภาครัฐ วันนั้นยังไม่ระบุว่าหัวละหมื่น จึงไม่เป็นประเด็นให้พูดถึงกันเท่าไหร่
คิดใหญ่จนงงกันเอง
มาวันนี้ “เศรษฐีเศรษฐา” เลิกพูดเรื่องเหรียญไปแล้ว แถมยังเหน็บว่าคนอื่นไม่เข้าใจ เพราะมีคนบอกว่าเป็นคูปอง
ก็ตัวเองพูดแต่ละครั้งมันอยู่กับร่องกับรอยหรือเปล่า
เปลี่ยนไปเรื่อย
ล่าสุดก็บังอาจ จะเอาภาษีประชาชนไปสร้าง เงินดิจิทัลเพื่อไทย
กกต.ว่าไง มันได้หรือครับ
แต่…อีกสักพักจะพบความจริงว่า มันก็แค่ทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งดีๆ นี่เอง
หรือไม่คนไทยต้องโหลดแอปตัวใหม่ มาแทน “เป๋าตัง”
ถ้าเพื่อไทยล้ม “เป๋าตัง” คิดให้ดีๆ เพราะมันยังเป็นช่องทางซื้อลอตเตอรี่ราคา ๘๐ บาทด้วย เขาทำมาขนาดนี้แล้ว กล้าล้มก็ลองดู
ข้อมูลจาก กสิกรไทย บอกว่าไลฟ์สไตล์คนไทยยุคโควิดครองแชมป์ทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอันดับ ๑ ของโลก
สูงถึง ๖๘.๑% ต่อเดือน
บวกกับ “เป๋าตัง” คนไทยแทบไม่ต้องถือเงินสดกันแล้ว
ขนาดร้านค้าริมทาง ซาเล้ง เขาสแกน QR Code จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ฉะนั้นที่พรรคเพื่อไทยพยายามเคลมว่า จะสร้างประเทศไทยเป็นสังคมไร้เงินสด เป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน ก็ขอให้รู้โดยทั่วกันนะครับ คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมมาตั้งแต่ช่วงโควิดระบาด
๘ ปี ไม่ทำอะไร แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยถึงได้ดิ้นให้ตัวเองต่างจากรัฐบาลลุงตู่ด้วย
พยายามจะฉีกหนี
แต่มันหนีไม่พ้น
หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะเอานโยบายคนละครึ่งกลับมาอีกสัก ๒-๓ รอบ มันก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้
เพราะมันกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง
รัฐบาลลุงตู่ ทำให้เห็นผลมาแล้ว
ดูนโยบาย ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เป็นตัวอย่าง ไม่มีใครล้ม มีแต่ปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะช่วงแรกของนโยบายนี้ดิบเกินไป จนหลายๆ โรงพยาบาลมีปัญหาด้านการเงิน
เรื่องแบบนี้อย่าอาย อย่าใจแคบ
มันดูดีกว่าการยกย่องนักโทษหนีคุกตั้งเยอะ
