นายแพทย์วิกรม เจนเนติสิน อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า มะเร็งหัวใจ สามารถแบ่งประเภทการเกิดได้ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ มะเร็งหัวใจที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น ๆ และมะเร็งหัวใจที่มีต้นกำเนิดจากหัวใจโดยตรง เช่น เยื่อหุ้มหัวใจ เส้นเลือดหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ โรคมะเร็งหัวใจยังสามารถเกิดขึ้นได้จากบริเวณช่องอก (Mediastinum) ที่ทำหน้าที่คั่นระหว่างหัวใจ ปอด ต่อมน้ำเหลือง และอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งในบริเวณนี้มีเส้นเลือดเป็นจำนวนมาก ทำให้เซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจากอวัยวะอื่นภายในช่องอกมาเกาะที่เส้นเลือดแล้วลามเข้าสู่หัวใจได้
มะเร็งหัวใจในระยะแรกอาจไม่ก่อให้เกิดอาการ จนกระทั่งเมื่อก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไปอุดตันหรือทำให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการ ดังนี้
- เหนื่อยง่าย วูบ
- เจ็บหน้าอก
- หัวใจล้มเหลว
- หน้าและคอบวม
- ท้องมานเพราะมีน้ำในช่องท้อง
- ขาบวมกดบุ๋มทั้งสองข้าง
- หลอดเลือดดำที่คอโป่ง
- ตับโต
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจ Echocardiography หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้มองเห็นตำแหน่งของก้อนเนื้องอกได้ชัดเจนมากขึ้น จากนั้นจึงเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจ ซึ่งการเจาะชิ้นเนื้อสามารถทำได้ทั้งการผ่าเปิดทรวงอกและการส่องกล้องบริเวณทรวงอก หรือหากเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แล้วพบว่ามีน้ำอยู่ที่บริเวณเยื่อหุ้มหัวใจ แพทย์อาจพิจารณาเจาะเอาน้ำที่เยื่อหุ้มมาตรวจเพิ่มเติม เพื่อแยกชนิดของการเกิดโรคมะเร็งหัวใจ
“ โรคมะเร็งหัวใจ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด การฉายแสง และการให้ยา ไม่ว่าจะเป็นยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า และอื่น ๆ ซึ่งวิธีการรักษาในผู้ป่วยแต่ละคน จะพิจารณาจากชนิดของมะเร็งต้นกำเนิด และระยะของโรคมะเร็งหัวใจ อย่างไรก็ตาม โรคนี้มักเกิดในกลุ่มคนที่อายุไม่มาก ซึ่งกลุ่มวัยนี้มักมองข้ามเรื่องการตรวจสุขภาพ ทำให้กว่าจะตรวจพบโรคก็เป็นมาระยะหนึ่งแล้ว จึงแนะนำให้หมั่นสังเกตอาการตัวเองและตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจหัวใจด้วยทำเอคโค่หัวใจ(Echocardiography), การเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-Ray), หรือการทำ CT Scan เพราะหากมาพบแพทย์เร็ว ก็มีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้ ” นายแพทย์วิกรมกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีนวัตกรรมใหม่เพื่อการรักษาโรคมะเร็งเฉพาะบุคคลอย่าง Cancer Vaccine เป็นการนำก้อนมะเร็งของผู้ป่วยมาสกัดให้ได้โปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง ซึ่งเป็นโปรตีนจำเพาะของผู้ป่วยแต่ละราย เมื่อฉีดกลับเข้าไปจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายรู้จักหน้าตาของเซลล์มะเร็ง เพื่อการกำจัดเซลล์มะเร็งร่วมกับการใช้วิธีการรักษาหลักอย่างมีประสิทธิภาพ