เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566- นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำทีมว่าทีผู้สมัคร ส.ส.กทม. ลงพื้นที่สำรวจตลาดปากคลองตลาดแหล่งซื้อขายดอกไม้สดและสินค้าต่างๆ ในช่วงวาเลนไทน์ โดยได้พูดคุยพ่อค้าแม่ค้าประชาชนและสอบถามปัญหาต่างๆ ที่ต้องการให้ช่วยแก้ไข พร้อมแนะนำ ว่าที่ผู้สมัครส.ส กทม.ที่ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. ร่วมให้ข้อมูลในระหว่างการเดินพบปะประชาชนในตลาดปากคลองตลาด
นายเอกนัฏ ให้สัมภาษณ์ว่า การนำ ทีมว่าที่ ส.ส.กทม.ลงพื้นที่ในช่วงนี้เพราะต้องการให้ได้รับทราบปัญหาของประชาชนและนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาร่วมกันกับนโยบายเดิมของพรรคที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ไขปัญหาให้กับชาว กทม.
โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่พรรคให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นการสร้างรายได้และทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น ซึ่งต้องพึ่งขีดความสามารถ การพัฒนาต่างๆ โดยการนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ลงพื้นที่ไปร่วมงานรูปแบบต่างๆจะทำให้เกิดไอเดีย หรือแรงบันดาลใจ สามารถนำไปใช้ในการคิดนโยบายใหม่ๆ เพื่อต่อยอดนโยบายด้านสร้างเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชนมากขึ้น
เริ่มจากการพูดคุยกับ ผู้ค้าทราบว่าปัญหาหนึ่งคือ การเข้ามาตีตลาดของดอกไม้จากต่างประเทศ ดังนั้นจึงต้องคิดว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ สินค้าภายในประเทศสามารถต่อสู้แข่งขัน ดอกไม้ที่มาจากต่างชาติได้ ในส่วนนี้เห็นจะต้องพัฒนาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานรวมไป ถึงระบบโลจิสติกส์ซึ่งพรรคจะได้นำไปเป็นแนวทางในการทำนโยบาย ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นิด้าโพลเผยผลสำรวจความคิดเห็นคนนครศรีธรรมราชว่าแม้จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อแต่ก็ยังคงแบ่งใจให้กับพรรคอื่น นายเอกนัฏ กล่าวว่า หากเทียบกับความนิยมตั้งแต่เริ่มตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติจะเห็นได้ว่า คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ 12% จนมาถึงขณะนี้ 21% ในเชิงสถิติจึงดูไม่แตกต่างกับพรรคอื่นๆ แต่ตนก็ไม่ได้สนใจเรื่องคะแนนนิยมของพรรคอื่น
สิ่งสำคัญคือต้องการแข่งขันกับตัวเองตอนนี้คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นเท่าตัว ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็เรียกได้ว่าเป็นหุ้นขาขึ้น จากตอนนี้ยังมีเวลาอีก 2-3 เดือนหากได้ลงพื้นที่ หลังจากนี้เชื่อว่า คะแนนนิยมของพรรคก็จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน
นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทางพรรคเตรียมจัดคิวให้พล.อ.ประยุทธ์เดินสายไปปราศรัยพบกับประชาชนอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่นายกฯจึงอาจต้องใช้ช่วงวันหยุดวันเสาร์อาทิตย์ในการพบประชาชนหรือช่วงเวลาหลังราชการแทน เช่น ทราบว่าวันที่ 13 กุมภาพันธ์นายกฯจะไปจ.สุราษฎร์ธานี และพบประชาชนหลังเวลาราชการด้วย จากนี้ก็จะหาเวลาจัดคิวไปพบประชาชนในพื้นที่ต่างๆอย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์จะด้อยกว่าคนอื่นตรงไหน ฉะนั้นเมื่อมีผลเป็นแบบนี้เราก็ต้องทำงานต่อไป ผมเชื่อมั่น ในการเป็นผู้นำของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า เป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์ซื่อตรง ที่ผ่านมาท่านก็ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการที่มีผลงานเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องการวางโครงสร้างพื้นฐาน โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ หรือการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด
จากนี้ไปก็ยังมีอีกหลายโครงการที่ท่านจะต้องทำต่อ ซึ่งต่อไปก็จะมีทั้งนักการเมืองที่มีประสบการณ์และผู้ที่มาจากนอกแวดวงการเมืองแต่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมกันทำงานภายใต้พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย” นายเอกนัฏกล่าว
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าในการอภิปราย ตามมาตรา 152 พล.อ.ประยุทธ์จะโดดเดี่ยวกลางสภา นายเอกนัฏ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้พรรครวมไทยสร้างชาติก็มีส.ส.ในสภาแล้ว และยังมีส.ส.ปัจจุบัน ไม่ต่ำกว่า 30 – 40 คน ที่ยังไม่ได้ลาออก เพราะยังต้องทำหน้าที่ในสภาอยู่ ตนไม่ได้อยากจะใช้คำว่าปกป้อง แต่หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่โดดเดี่ยวแน่นอน
อย่างไรก็ตามคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พล.อ.ประยุทธ์จะได้ชี้แจงและตอบคำถามต่างๆถือเป็นการสื่อสารให้กับประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง ตนมั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น
“ส่วนคำถามที่ว่าจะมีทีมองครักษ์พิทักษ์พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ ผมว่าไม่จำเป็นต้องตั้งเพราะมีคนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นกำลังทาบทามคุณรังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ แต่ตรงนั้นผมว่ามันเป็นสีสันเพราะสิ่งสำคัญคิดว่าอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์จะได้สื่อสารกับประชาชน เท่าที่ผมได้คุยกับท่าน ท่านก็บอกว่าสามารถตอบได้ทุกอย่าง เพราะท่านทำมาด้วยตัวเองทุกเรื่อง” นายเอกนัฏกล่าว
เมื่อถามว่า มีคนอยากเห็นพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีดีเบต นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในการสื่อสารก็มีหลากหลายช่องทาง จะเลือกช่องทางที่เหมาะสมที่สุดเพราะพล.อ.ประยุทธ์เองก็ไม่อยากจะไปต่อล้อต่อเถียงกับใคร เวทีอภิปรายก็ถือเป็นช่องทางหนึ่งที่จะได้สื่อสารตอบคำถามต่างๆ ได้