เปลว สีเงิน
ขอโทษที่ “เมื่อวาน” หายไปเฉยๆ
เพราะมีมาอีกโรค ที่เขาเรียก “Tennis elbow” คือเอ็นในกระดูกบริเวณปุ่มข้อศอกอักเสบ
แค่ยกแก้วน้ำก็ปวดน้ำตาไหล ไหนต้องจิ้มคอมฯ ทั้งวัน
ทนอยู่หลายวัน จนสุดทน
ต้องไปหาหมอ ทำ shockwave เป็นเดือน ก็ยังไม่เข้าที่
วันดี-คืนดี เอ๊ะ…อะไรหว่า ตุงๆ ที่ศอก?
ส่องกระจก ตกใจหมดเลย เพราะมันบวมเป็นถุงน้ำเท่าลูกมะนาว ประคบ-ประหงม อยู่หลายสัปดาห์ กลับยิ่งเจริญเติบโตเท่าลูกมะกรูด
ขืนทนต่อไป เกรงลูกมะกรูดจะกลายพันธุ์เป็นผลส้มโอ เลยต้องไปหาหมอผ่า
ทั้งตื่นเช้าที่ไม่เคยตื่น ทั้งกลัวหมอจะผ่า พยาบาลวัดความดันก็เลย… โอ้โห ปรี๊ดดด ขึ้นไปตั้ง ๑๗๐
งั้นซี ถึงได้มืดหน้าตาลาย ใจสั่นดิ๊กๆ ตั้งแต่ตอนนั่งรถไปโรงพยาบาลแล้ว เลยอายตัวเอง
นึกว่าแน่ ที่แท้ “ขี้ขลาด-ใจเสาะ” ยิ่งกว่าปลาซิว!
รอจนความดันลดเหลือประมาณ ๑๕๐ พยาบาลจึงให้เข้าไปพบหมอ
ยกศอกลูกมะกรูดให้ท่านดู หมอร้องอ๋อ
“โรคคนแก่น่ะ ไม่ต้องผ่าหรอก แค่เจาะเอาน้ำออกก็หาย แต่ว่า มันกลับเป็นได้อีกนะ”
ค่อยใจโล่ง ความดันลบฮวบ เหลือ ๑๓๖
ก็ตกใจอีก กลัวความดันจะต่ำเกิน จึงคงความขี้ขลาดให้คงอยู่ระดับหนึ่ง เบือนหน้าหลับตาปี๋ ให้คุณหมอเจาะดูดน้ำออก
จนท่านบอกว่า นี่ดูซี…
ผมจึงฝืนหันไปดู โอ๊ะ…ไม่ใช่น้ำใสๆ อย่างที่เข้าใจ แต่เป็นน้ำเลือด ตั้งค่อนหลอดใหญ่ๆ
นึกในใจ “ไม่เป็นไรแน่นะ..วิ!?”
เดินกางแขนเข้าไว้ ข้อศอกกับหัวใจ ห่างกันตั้งเยอะ
กลับถึงโรงพิมพ์ก็บ่ายกว่า พันแขนเป็นมัมมี่ เผอิญเป็นข้างขวา หมดยาชา จิ้มคอมฯ เขียนคุย มันก็ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ
ก็เลยขออนุญาตหายไป โดยไม่ได้ลาท่าน ๑ วัน คือเมื่อวาน
บวกกับตอนเย็น นัดท่านอาจารย์ “มีชัย ฤชุพันธ์” ไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้ว จะไปสวัสดีปีใหม่ท่าน
ครั้นจะรีบฝืนเขียนก็ไม่ทัน อย่างนั้นก็ นอนชาร์ตแบตตอนบ่าย รอเย็น ไปเลยดีกว่า
นี่คือ “คำแก้ตัว” ในการหายไปของผม ก็มีแค่นี้แหละ จะว่าไง ก็สุดแต่ท่านจะพิจารณาสั่งการ
มีเรื่องหนึ่ง ท่านทราบกันแล้วนะ…..
“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา”
“เจ้าฟ้า” ในหัวใจประชาชนคนไทย “ทรงมีอาการประชวร” อยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ ขณะนี้
บอกตรงๆ ทราบข่าวทีแรก ด้วยใจรักและภักดีต่อเจ้าฟ้าพระองค์น้อยๆ พระองค์นี้ ลึกอยู่ในสายเลือดมาตลอด
บอกกับตัวเองว่า…ไม่จริง..ไม่จริง
แต่ก็นั่นแหละ มิวายหัวใจหล่นวูบ สิ่งไหนที่เคารพยึดมั่น ผมภาวนาและอัญเชิญให้เสด็จมาอภิบาลรักษาทั้งวัน ใจจดจ่ออยู่กับพระองค์ท่าน จนไม่อยากทำอะไร นี่พูดกันตรงๆ
ท่านอาจารย์มีชัย เมตตาเลี้ยงอาหารเย็น
โชคดี พบเจ๊ฟอง “ฟองสนาน จามรจันทร์” ที่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ ก็ปรารภกันถึงอาการประชวร “เจ้าฟ้าหญิง” ที่เรียกกันจากใจว่า “พระองค์ภาฯ”
ผมจึงบอกกับทุกคนว่า ในความเป็น “ข้าแผ่นดิน” ใต้พระบารมีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
สิ่งหนึ่งที่ผมทำได้ เพื่อ “พระองค์ภาฯ” ทรงหายประชวรโดยเร็ว
ผมจะ “บวชถวาย ๗ วัน”
เคยบวชแต่เณรตอนเด็ก ตั้งใจจะบวชเป็นพระก็มาก็นาน แต่บุญวาสนายังไปไม่ถึงซักที
ด้วยบุญญาพระบารมี “พระองค์ภาฯ” ครั้งนี้แหละ
จะเสริมหนุนให้ผมได้เป็น “พุทธบุตร” ในพระพุทธศาสนาแน่นอน
เจ๊ฟอง บอกจะ “บวชถวาย” พระองค์ท่านด้วยเช่นกัน
ก็ตกลงกันว่า เมื่อ “พระองค์ภาฯ” หายประชวรแล้ว
จะเดินทางไปบวชด้วยกัน ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา
เมื่อคืน ก่อนนอน สวดพระธรรมจักร สวดโพชฌงคปริต สวดชินบัญชร ถวายพระชัยมงคล “พระองค์ภาฯ”
ในวันหนึ่ง ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ผมไหว้พระทุกที่ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธค.มานี้ ทุกครั้ง-ทุกที่ ที่ผมพนมมือหน้าพระ
จิตมุ่งตรง “พระองค์ภาฯ” ที่เดียว
“พระองค์ภาฯ” ต้องหายประชวรแน่นอน
“พระพุทธองค์” ตรัสไว้ว่า…..
“มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยาฯลฯ” ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจสำคัญที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
พสกนิกรไทยทั้งในและนอกประเทศ “ทุกศาสนา” ต่างอธิษฐานจิต
ส่งแรงใจถวายพระพรชัย “พระองค์ภาฯ” ให้ทรงหายจากอาการประชวรพร้อมเพรียง
ด้วย “จิตตานุภาพ” ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจนี้ ……..
“พระองค์ภา” ต้องทรงหายประชวรกลับเป็นปกติ
โรคาพยาธิและกรรมวิบากทั้งหลาย-ทั้งปวง จะต้องแพ้พ่าย
“พระองค์ภาฯ” จะทรงผ่านพ้นวิกฤติด้วยดีทุกประการ
ทั้งทรงมีพระพลานามัยพลิกฟื้นคืนสมบูรณ์โดยไวแน่นอน
จันทร์-อังคาร ๑๙-๒๐ ธันวา.ผมขออนุญาตหายไปอีก ๒ วันนะครับ ขอบอกล่วงหน้า
คือจะไปกับ พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์, ท่านบรรพต หงษ์ทอง อดีตปลัดเกษตรฯและคณะ อีก ๔-๕ ท่าน
ไปไหว้ “พระธาตุนครพนม” และห่มผ้า ถวายสังฆทาน สวดมนต์ ขอ พุทธานุภาพ, ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ แห่งองค์ “สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า”
อภิบาลคุ้มครองรักษา “พระองค์ภาฯ” พระผู้จิตหมั่น-ยึดมั่นในการบำเพ็ญภาวนามาด้วยดีมาโดยตลอด
“วิกฤติ” นี้ จงสิ้นไป
พระองค์ภาฯ ต้องทรงเบิกบาน แจ่มใส เป็น “ใจเมือง-ใจประชา” ตลอดไปและตลอดไป
อยากบอกพวกเราว่า “จิตนี้จะมีอานุภาพ” เราต้องเคลียร์จิตให้อยู่ในภาวะ “จิตประภัสสร” เสียก่อน
คือทำให้ใจประหนึ่ง “ผ้าขาวบริสุทธิ์” ผืนหนึ่ง จำกัดให้แคบเข้ามา ช่วงนี้ จะมีบุคคลบางจำพวกทั้งพูดจา ทั้งโพสต์ตามสื่อสารออนไลน์ในทุกรูปแบบ
“หวังดีแต่ประสงค์ร้าย” บ้าง
“สร้างข่าวซ้ำเติมในทางร้าย” บ้าง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้จิตเราขุ่นมัว ด้วยโกรธ เกลียด อาฆาต ไม่พอใจ นั่นคือฝุ่นธุลี ที่ประกอบด้วย ราคะ โทสะ และโมหะ
ทำให้ “ผ้าขาว” คือใจเรา “แปดเปื้ยน” มัวหมอง
เมื่อใจมัวหมอง ก็เหมือนกระจกใส ที่ถูกฝุ่นจับ
ถึงสะท้อนภาพได้….
แต่ก็เบลอ ไม่ชัด ไม่คมใส เพราะใจไม่มีพลัง ถึงมีบ้าง ก็อ่อนแรงนั่นเอง
ฉะนั้น เมื่อเรารัก “พระองค์ภาฯ”
ปรารถนาแรงกล้าให้ “พระองค์ภาฯ” หายประชวร
เราต้องยกจิตเหนืออารมณ์ที่ทำให้ขุ่นมัว เพื่อการ “ส่งจิต” ถึงพระองค์ภาฯ ให้เป็น “จิตตานุภาพ” เปี่ยมพลัง ในทางอภิบาลรักษาทรงพลานุภาพสูงสุด
เข้าใจกันนะครับ….
เราต้องทำจิตให้เกิดบารมี บารมี จะเป็นพลัง
“พลังสะอาด” จากจิตคนทั้งประเทศ จากทุกศาสนา
จะเกิดจิตตานุภาพแรงกล้า
พุ่งตรง “อภิบาล-คุ้มครอง-รักษา” พระองค์ภาฯ
จนภยันตรายใดๆ จากหมู่มารทั้งหลาย นอกจากต้องคืน “องค์เจ้าฟ้า” กลับมาแล้ว
ยังต้องคุ้มครองรักษาพระองค์ท่าน ด้วยครั่นคร้ามต่อพลานุภาพแห่งจิตของพสกนิกรทั้งแผ่นดิน
จงเชื่อเถิด “พลังใดๆ” ในโลกหล้า….
ไม่เหนือพลัง “จิตตานุภาพบริสุทธิ์” ของทุกมนุษย์ผู้มีศาสนา
“พระองค์ภาฯ” ต้องทรงหายประชวร
และทรงพระเจริญวัฒนา” เป็นทั้งแก้วตา-เป็นทั้งดวงใจ” ของทุกๆ พสกนิกรไทย
จึงขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ทรงทราบ
ทุกใจประชาชนอยู่ที่พระองค์
“พระองค์ต้องอยู่กับประชาชนตลอดไป”
เปลว สีเงิน
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๕