เปลว สีเงิน
เมื่อวาน ไม่ได้คุยกัน
ตารางบินเดิม จะถึงดอนเมือง ๖ เย็น แต่สายการบินเขารวมไฟล์ท ก็เลยปาเข้าไป ๒ ทุ่ม กลับบ้าน คุยทาง “โทรจิต” ดีกว่า
สนามบินแน่น ทั้งต้นทาง-ปลายทาง
หาดใหญ่ สงขลา ปัตตานี กลับมามีชีวิต-ชีวาเหมือนเดิม ตลาด ร้านค้า คึกคัก ด้วยผู้คน ทั้งไทยและมาเลย์
นึกว่าจะเจอฝน แต่สับหลีกไป-มา ตกที่หาดใหญ่ ผมไหว้หลวงพ่อทวด, เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อยู่ปัตตานี
รุ่งขึ้น ตกที่ปัตตานี แต่ผมออกจากปัตตานีไปเยี่ยมนางเงือกที่หาดสมิหลา สงขลา
สรุปแล้ว รอดฝน……
ที่ไม่รอดคือ ใต้…ไม่ว่าที่ไหน-ตอนไหน “ร้อนตับแลบ” เสมอภาค-ภราดรภาพ เท่ากันหมด!
เลยจะนะมาหน่อย เข้าเขตสงขลา เห็นป้าย “ทางเข้าบ้านนิพนธ์ บุญญามณี” นึกจะแวะเข้าไปขอบคุณซะแล้ว ที่ส่งปลาเค็มตากใบมาให้เจริญอาหารตอนเอเปก
แต่นึกไป-นึกมา……..
กลัวเข้าไป ขากลับ จะมีปลาเค็มตากใบกระโดดตามขึ้นเรือบินกลับมาอีก ตัวละร่วมพัน ฉะนั้น อย่าดีกว่า!
ไปปัตตานี ถ้าขี้เกียจไปกินอาหารตามร้าน ขอแนะเลย ห้องอาหารที่โรงแรมซีเอสนั่นแหละ เลิศที่สุดในปฐพี
โดยเฉพาะ “ข้าวยำ” ในภาคใต้ อร่อยทุกที่ก็จริง
แต่เมื่อเทียบกับที่ซีเอส
อร่อยทุกที่ “จบบริบูรณ์” ที่ซีเอส ที่เดียว!
เห็นการพลิกฟื้น ชนิดแข็งแรงของภาคใต้แล้ว ก็ดีใจแทนพี่น้องชาวใต้ และร้านค้า-ร้านขาย ทั้งหมด
ฟื้น-ไม่ฟื้นก็คิดดู ขนาดโทรไปจองโรงแรมล่วงหน้าเป็นครึ่งเดือนที่หาดใหญ่ เขาบอกว่าเต็มหมด และเต็มยาว
ผมก็เลยอดเห็นสภาพกลางคืนว่านักท่องเที่ยวจะขนาดไหน แต่ขนาดและเลียบไปตอนกลางวัน คราบชีวิต-ชีวา ก็ยังไม่ราจาง
การลงทุนสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นแปลกหู-แปลกตา ความเป็นหัวเมืองใหญ่ทางใต้ของหาดใหญ่ ไม่ต่างกับทางภาคเหนือที่เชียงใหม่
เห็นก็ปลื้มครับ ทางใต้ พี่น้องไทยพุทธ-ไทยมุสลิม ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ คือจากมาเลย์
มาเที่ยว มากินอาหารพื้นบ้าน มาพักผ่อน ทั้งค้าขาย ทั้งอยู่ร่วมกัน สมัครสมานกลมเกลียว
ศาสนาที่ไม่ทำให้คนแบ่งแยกกัน นั่นแหละคือ “แก่นแท้” ของคำสอนแต่ละศาสนาที่แท้จริง
ขับเน้นประเทศไทยเป็นเมืองคนอารยะศานติด้วยศาสน์ที่เข้าถึง โดยเฉพาะ “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม”!
หาดสมิหลา ได้รับการยกเครื่องกลับมาเป็นสาวสะพรั่งอีกครั้ง สองฟากถนนยาวเป็นกิโลๆ รถนักท่องเที่ยว ทั้งในถิ่นและต่างถิ่น จอดเรียงรายเป็นพรืด
ผมไปทุกปี ไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มา ๔-๕ ปีแล้ว
คำว่า “นคราพลิกตื่น การทำมาหากินพลิกฟื้น ชาวประชาหน้าใส” กลับมาครบถ้วน
เท่าที่ขี่ม้าเลียบค่ายสังเกตดู ไม่มีคำอื่นจะพูด นอกจากปลื้มและดีใจ!
สดับตรับฟังเสียงชาวบ้านว่าเขาว่าไงกันบ้าง ในสภาพปัจจุบัน
คนใต้ อึดทน มีความเข้าใจปัญหาบ้านเมืองและสภาพเศรษฐกิจอยู่แล้ว ปกติก็ไม่เป็นคนขี้บ่นจุกจิก
แต่ตอนนี้ หลังจากรัฐบาลคลายมาตรการควบคุมโควิด เปิดการท่องเที่ยว เขามีแต่รอยยิ้ม
ถามถึงด้านการเมือง เขาบอกว่า….
หลังจากเอเปก คะแนนนิยม “ลุงตู่” ในภาคใต้ พุ่งจู๊ด!
อ้อ…ลืมบอก “ของดี” เมืองใต้อีกอย่าง
ตอนนี้ “ส้มโชกุน” ที่ยะลา เริ่มทะยอยออกตลาดแล้ว คุณพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศบาลนครยะลา นำรุ่นแรกมาให้ชิมที่วัดช้างให้
ตอนแรกหนักใจ ให้มากล่องเบ้อเร่อ แล้วจะแบกกลับได้ไง ค่าน้ำหนักขึ้นเครื่อง ก็เป็นพันแล้ว
ขึ้นรถ จากวัดช้างให้ ไปยังไม่ทันถึงศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จากหนักใจ เป็นเสียดาย
ชิมคนละลูก ชิมไป-ชิมมา ทั้งกล่องใหญ่ เหลือแย่งกันใส่กระเป๋ากลับบ้าน คนละ ๓-๘ ใบ!
ของเขาหวานในเปรี้ยว เปรี้ยวในหวาน แต่ละกลีบฉ่ำไม่มีฟ่าม แกะใส่ปากงี้…..
รสซาบซ่าน จี๊ด…ร้าวไปทั่วกรามแล้วหวานประโลมลิ้น จนตะกรามกินกัน เหมือนปีศาจโชกุนเข้าสิง
มีที่เดียวในภาคใต้ เฉพาะตอนนี้ เป็นรุ่นเตรียมต้อนรับตรุษจีน ต้นปี ๖๖ ผลใหญ่ เต่งตึง กิโลละร้อยกว่าบาท
ถ้าไม่จอง ต้องทำใจว่า ไร้วาสนา ได้ลิ้มลอง ๑ ใน ๑๑ ของดีเมืองยะลา ที่นายกฯ พงษ์ศักดิ์เป็นประกัน!
นั่งรถเห็นข้างทาง น่าจะเป็นแถวเทพา มีแม่ค้าตั้งแผงขายอาหารแห้ง ประเภทของทะเล เรียกว่าสารพัดปลาแห้ง
เลยแวะอุดหนุน เป็นร้านค้าพี่น้องไทยมุสลิม กะจะซื้อหอยเสียบแห้งไปทอดกินข้าวต้ม
แม่ค้าหายไปพัก ถือถุงพลาสติกเล็กๆ มา ๔-๕ ถุง ส่งให้บอกว่าหอยเสียบ
ผมก็งง หอยเสียบสงขลา ทำไมหน้าตาไม่เหมือนหอยเสียบแม่กลองบ้านผม
คือของเขา ตัวเล็กๆ เหมือนหอยตะพง ดองเค็ม บอกว่ากินสดๆ แบบนี้เลย
มันคนละเผ่าพันธุ์หอยเสียบแม่กลอง ที่ตัวเหมือนหอยหลอด แต่สั้นกว่า ตากแห่ง ต้องเอาไปทอดน้ำมันหรือคั่วในกระทะ
ซื้อไป-ซื้อมา กะว่าพอถือขึ้นเครื่อง คนขายชาวมุสลิม ขายเก่ง เอานั่นมาเสนอ นี่มาเสนอ เธอบอกหร่อยทั้งนั้น
หร่อยไป-หร่อยมา ต้องแพ็กใส่ลัง เอาไปส่ง ทาง Flash Express แทนหิ้วกลับ ค่าส่งสองร้อยกว่าบาท มันก็คุ้มและสะดวกดี
ความจริง ผมไม่ได้ทำครัวหรอก มื้อเช้า+เที่ยง รวบยอดก๋วยเตี๋ยว ๑ ชาม เป็นอาหารหลัก
เย็นตามอัธยาศัย เพราะอยู่โรงพิมพ์ สุดแต่วันนี้ ใครจะเอามาใส่บาตรให้กิน ถ้าไม่มี ก็ข้าวต้มยืนพื้น
แต่ที่ซื้อมาเป็นลัง อยากอุดหนุนร้านค้าชาวบ้านเป็นหลัก ร้านย่านไหนอร่อย-ไม่อร่อย ก็จำไว้
เพราะต้องไปทุกปี ย่านไหนคุณภาพดี อัธยาศัยใจคอดี ปีหน้า ก็แวะอุดหนุน นี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม
ไปใต้เที่ยวนี้ ค่อนข้างไปเร็ว-กลับเร็ว จึงจับชีพจรเมืองได้ไม่ครบ บอกได้แต่ภาพรวม เท่าที่ตาเห็น
แต่เท่าที่เห็น เทียบกับหลายๆ ปีก่อน…..
แค่นี้ก็ชื่นใจเหลือหลาย ว่าบ้านเมืองไทย การทำมาหากินชาวบ้านและการค้า กลับมาแล้ว!
จะบอกว่า นี่คือความสำเร็จในการบริหารปัญหาสังคมประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ ก็จะว่ายอกันจนกระดกมากไป
เอางี้ดีกว่า………
เปลี่ยนเป็นว่า นี่เป็นผลมาจากความล้มเหลวที่สำเร็จของฝ่ายค้านในการไล่บี้ ไล่ตี ไล่กระทืบรัฐบาลประยุทธ์
จนบ้านเมืองมีวันนี้
คือวันที่ เพื่อไทย-ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทั้งในสภา-นอกสภา ขนานไปกับขบวนการ ๓ นิ้ว “ไล่รัฐบาล-ถล่มเมือง”
จน “ครบเทอม” ๔ ปี…..
โดยรัฐบาลประยุทธ์ “ไม่บุบ-ไม่เสื่อมสลาย” มีแต่ชื่อเสียงและผลงานขจรขจาย ทั้งในและนอกประเทศ
นับเป็น “ความสำเร็จ” ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ที่มีคุณภาพเป็นเกียรติประวัติยาวนาน ๔+๔ ปีของเพื่อไทย!
“ขี้เถ้า” ขัดทองได้เปล่งปลั่ง ฉันใด
“เพื่อไทย” ขัดเกือกนายกฯ ประยุทธ์ได้มันวับ ฉันนั้น!
ตอนนี้ เพื่อไทย น่าจะเหนื่อยหน่อยนะ
เหนื่อยกับการ “ไล่งับเงา” นายกฯ ประยุทธ์ในสนามการเมือง
ไม่รู้จะไปโผล่ที่ไหน จ้องไปที่พลังประชารัฐ พอเงื้อไม้หน้าสาม อ้าว…ผลุบหาย จะไปโผล่ที่ “รวมไทยสร้างชาติ”
ครั้นไปดักจ้องที่รวมไทยสร้างชาติ ก็เหมือนปรอทเหล็กไหล ปลิ้นไปโผล่พลังประชารัฐซะอีกแล้ว
ทำเอา “ลุงป้อม” ขำ…หัวเราะตาหยี พุงกระเพื่อม
ก็พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ “พรรคเดียวกัน” ผลุบนั่น-โผล่นี่ หลอกให้มึงหัวหมุนตาลาย จนแลนด์สไลด์หงายท้องแอ้งแม้งเล่นนั่นไง ไอ้ควายผูกโบแดง!
เลือกตั้งปี ๖๒ เพื่อไทย ยังมีไทยรักษาชาติ
แล้วเลือกตั้ง ปี ๖๖ พลังประชารัฐ จะมีรวมไทยสร้างชาติบ้างไม่ได้หรือไง?
แต่ไม่ “มักใหญ่ใฝ่สูง” จนฟ้าผ่าควาย “ตายยกคอก” หรอกน่า!
สรุปแล้ว ตอนนี้ ถูก “นายกฯโง่” แย็บซ้าย-แย็บขวา จนดอกรัก-สัตว์แสนรู้ ยืนเซ่อ เป็นเป้านิ่งกลางเวที
ครางหงิงๆ “ยุบสภา..ยุบสภา…ยุบสภา”!
ไล่เขามา ๔ ปี สุดท้าย หมดปัญญา กอดขา เป่าปี่ ร้องขอชีวิต ให้เขายุบสภา
ตบมือให้เพื่อไทย-ฝ่ายค้านเขาหน่อยซิครับ
จะมัวฮา “กรามค้าง” กันอยู่ทำไม เสียมรรยาทสลิ่มหมดนะ!
เปลว สีเงิน
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕