เปลว สีเงิน
กฎหมายไม่มีคำว่า “ถ้า” หรือคำว่า “สมมติ”
ดังนั้น ทุกคำตัดสินของศาล
จะตัดสินบนฐาน ๒ ฐาน คือ ฐานข้อเท็จจริง และฐานตัวบทกฎหมาย
อย่างวันนี้ (๓๐ กย.๖๕) ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมพิจารณาวินิจฉัยและปรึกษาหารือ ปม “๘ ปีนายกฯ” ตอน ๓ โมงเช้า
เสร็จแล้ว “คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ทั้ง ๙ ท่าน ก็จะออกเสียง “ลงมติ” ว่า
พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ “ครบ ๘ ปี” แล้ว
หรือ “ยังไม่ครบ”?
ตามประเด็นที่ฝ่ายค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลฯตีความตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่
ควรทราบกันด้วยว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ใช้ระบบไต่สวน
นอกจากคำร้อง คำชี้แจงของผู้ถูกร้องและคำชี้แจงจากพยานแล้ว
ศาลฯ ยังสามารถสืบเสาะหาพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาวินิจฉัยด้วยตนเองจนสิ้นสงสัยได้อีกด้วย
ซึ่งต่างจากศาลอื่นๆ เช่น “ศาลอาญา” ที่เป็นระบบกล่าวหา ศาลมีหน้าที่รับฟังโจทย์-จำเลย จะนำพยานหลักฐานมาหักล้างซึ่งกันและกันให้ศาลฟังเท่านั้น
ฉะนั้น แพ้-ชนะ ขึ้นอยู่ที่ทนายแต่ละฝ่าย ว่าใครจะนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากัน
ศาลก็จะพิจารณาตัดสินไปตามข้อเท็จจริงบนน้ำหนักพยาน-หลักฐานนั้น ตามที่แต่ละฝ่ายนำมาแสดง
โดยศาลไม่มีอำนาจไปสืบเสาะหาข้อเท็จจริงได้เองมาประกอบการตัดสินเหมือนศาลรัฐธรรมนูญ
ครับ…..
ก็วันนี้ ศาลฯ จะตัดสินว่า นายกฯ ลุงตู่จะอยู่หรือไป เห็นมีฝ่ายโน้น-ฝ่ายนี้ ออกมาสร้างกระแส “ชักลากสังคม” ไปทางฝ่ายตนต้องการ
บ้างว่าไปต่อ บ้างว่า ๘ ปีแล้ว ไม่ได้ไปต่อ กระทั่งหมอดู หมอผี หมอความ ทั้งเลือกข้าง-ไม่เลือกข้าง-ทั้งอยากดัง-ไม่ อยากดัง ต่างออกมาทำนายทายทัก
ฟังแล้ว ไม่ต่าง “ตาบอดคลำช้าง”!
คลำหางก็ช้าง คลำงวงก็ช้าง มันก็ใช่ทั้งนั้น แต่มันไม่ใช่ช้างที่สมบูรณ์ “เต็มตัว” ในความหมาย เพราะมันเป็นแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของช้างเท่านั้น
ชาวบ้านที่ไม่มีหลักยึดก็งงและสับสน ไม่รู้จะเชื่อใคร ทางไหนดี
ระหว่างรอศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ตอน ๓ โมงเย็นวันนี้ ดูโทรทัศน์ ยูตุป ได้ ศาลทันสมัย ถ่ายทอดครบ
ท่ามกลางการ “ปั่นกระแส-สร้างบรรยากาศ” กดดัน-ข่มขู่ศาลของขบวนการกำจัด “พลเอกประยุทธ์” ให้พ้นเส้นทางการเมือง นั้น
เพื่อไม่ว้าวุ่นต่อกระแสชี้นำ และเพื่อเป็นคู่มือการฟังคำตัดสินของศาลเย็นนี้ด้วยความเข้าใจแบบมีหลักยึด
เราควรต้องรู้ก่อนว่า……….
๑.ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย เขาสงสัย ๘ ปีนายกฯ ครบแล้วตรงไหน และเขาขอให้ศาลฯ ตีความตามรัธรรมนูญ มาตราไหน?
๒.ในการพิจารณาวินิจฉัยของศาลฯ ศาลฯจะพิจารณาวินิจัยเฉพาะประเด็นที่เป็นข้อสงสัยและยื่นมาให้ศาลตีความเท่านั้น และ
๓.ศาลฯ มีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมายเท่านั้น
อย่างอื่นๆ เช่น บันทึกการประชุมของกรธ.อะไรที่ยกมาโหมประโคมเป็นหลักฐานเป็น-ตายนั้น ไม่ใช่กฎหมายที่ศาลต้องตีความหรือต้องเชื่อ-ต้องฟัง
ท่านจะดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ ถ้ากฎหมายชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็น
ทีนี้มาดูว่า ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย เขายื่นคำร้องขอให้ศาลตีความรัฐธรรมนูญมาตราไหนบ้าง?
เขาสงสัยว่า “พลเอกประยุทธ์” น่าจะครบ ๘ ปีแล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๐ วรรคสองและมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่
ตรงนี้ ถือเป็น “ข้อสอบ” ที่ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย
ตั้งเป็น “โจทย์” ให้ศาลฯตอบ!
ทีนี้ มาดู “โจทย์” ที่เป็นข้อสอบ และที่ศาลจะเฉลย ๓ โมงเย็นนี้
โจทย์ของเพื่อไทยที่ตั้งไปถามให้ศาลฯตอบ มี ๒ ข้อ
ข้อที่ ๒ ขอให้ศาลฯ สั่งให้พลเอกประยุทธ์ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย นั้น
ศาลฯ สั่งไปแล้ว!
จึงเหลือโจทย์ ข้อที่ ๑ ที่ศาลจะให้คำตอบเย็นนี้ โจทย์ มีดังนี้
๑………..
ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบกำหนดเวลา ตามมาตรา ๑๗๐ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
ประเด็นที่ต้องตีความ คือมาตรา ๑๗๐ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่
ก็มาดู มาตรา ๑๗๐ วรรคสองว่าไง?
มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง บอกว่า…..
“นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ด้วย….ฯลฯ”
เมื่อมาตรา ๑๗๐ วรรคสอง ว่าดังนี้ ก็ไปต่อที่มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่
มาตรา ๑๕๘ จะดูเฉพาะวรรคสี่วรรคเดียวไม่ได้
เพราะมาตรานี้ ตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่ แต่ละวรรค “เชื่อมร้อย” กันเป็น “คุณสมบัติ” ผู้จะเป็นนายกฯ ๘ ปี ของรัฐธรรมนูญ ๖๐ ตามมาตรา ๑๕๘ และ มาตรา ๑๗๐
มาตรา ๑๕๘ มีความว่า….
-พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
-นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙
-ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
-นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง
ก็ต้องตามไปดูมาตรา ๑๕๙ อีกว่า ตำแหน่งนายกฯของพลเอกประยุทธ์ แต่งตั้งมาตามมาตรา ๑๕๙ ระบุ หรือไม่?
มาตรา ๑๕๙ มีใจความว่า……
ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ก็ ชัด-จบ-ครบประเด็น!
มาตรา ๑๖๐ ว่าด้วย “บุคคลต้องห้าม” เป็นรัฐมนตรี
มาตรา ๘๘ ข้อกำหนดคนที่จะเป็นนายกฯต้องมาจากบัญชีรายชื่อของพรรค
๒ มาตรานี้ “ผ่าน” ไม่มีปัญหา!
ทีนี้ เราก็มาดูซิว่า พลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นนายกฯ รัฐประหาร เมื่อปี ๒๕๕๗ กับพลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นนายกฯ เลือกตั้ง เมื่อปี ๒๕๖๒
ตกลง ตอนปีไหนของ “พลเอกประยุทธ์” กันแน่………
ที่ “ใช่” นายกฯ ถูกต้อง-ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคสอง
และรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ คือ ฉบับปัจจุบัน?
เห็นมั้ย เมื่อตีโจทย์แตก ก็หายสับสน ทำข้อสอบไม่ยาก
เพื่อไทยเขาสงสัย ให้ตีความการเป็นนายกฯ ๘ ปี ตามมาตรา ๑๗๐ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ เราก็ฝึกทำข้อสอบเล่นๆ รอเวลาไปด้วยก็ได้
แล้วเดี๋ยว บ่าย ๓ โมง ก็มาฟังอาจารย์ใหญ่ คือศาลรัฐธรรมนูญท่านเฉลย
ที่เราฝึกทำเล่น “ผิด-ถูก” เป็นการศึกษา-เรียนรู้
คำตอบที่ถูกต้อง ต้องฟังศาลฯ
และเราต้องยึดคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติ ศาลฯมีคำตัดสินออกมาเช่นไร ต้องเป็นเช่นนั้น
เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม!
การถูกใจ-ไม่ถูกใจ แล้วลงถนนก่อการก็ดี จ้วงจาบต่อศาลก็ดี เป็นอนาธิปไตย
อารยชน-อารยชาติ ไม่พึงกระทำ!
ภาพยนตร์หัวม้วน ก็มีเท่านี้ ………
แต่อ้อ..เมื่อวานผมบอก ถ้าสาวไทยตบชนะเกาหลีใต้จะได้เข้ารอบสอง ๙๙.๙๙%
เย็นวาน ก็ชนะจริงๆ ๓-๐ แข่ง ๔ นัด ชนะ ๓ แพ้ ๑ มี ๘ แต้ม ขึ้นเป็นที่ ๒ ของกลุ่ม B
เป็นอันว่า ๑๐๐% ชัวร์ ไทยเข้ารอบ ๒
แล้วลุงตู่ล่ะ ชัวร์ ๑๐๐% มั้ย?
อดใจรอซักครู่…เดี๋ยวก็รู้!
เปลว สีเงิน
๓๐ กันยายน ๒๕๖๕