เมื่อ “กทม.เปลี่ยนยุค” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

โพลทุกสำนัก “แม่นจริง”
ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. “ชัชาติ สุทธิพันธุ์” เบอร์ ๘ “มาแบบแลนด์สไลด์”!
เปิดหีบ คะแนน “นำโด่ง” ทุกเขต ทิ้งคู่แข่งทุกคน ไม่ว่า สุชัชวีร์ วิโรจน์ อัศวิน สกลธี ชนิด “ไม่เห็นฝุ่น”
แบบนี้ ก็ไม่ต้องรอลุ้นจนถึงคะแนนสุดท้ายแล้ว สรุปได้เลยว่า ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ต่อจากพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ชื่อ “ชัชชาติ สุทธิพันธ์”
ก็ขอแสดงความยินดีด้วย!

คุณชัชชาติ สังกัดพรรคเพื่อไทยมาก่อน เป็นรัฐมนตรีคมนาคมในรัฐบาลยิ่งลักษณ์
แต่การลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ประกาศ ลงสมัครแบบ “อิสระ” คือไม่สังกัดพรรค
ทางนิตินัย เป็นประมาณนั้น แต่ทางพฤตินัย เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า “ชัชชาติ” คือตัวแทนเพื่อไทย

ฉะนั้น ไม่ต้องคิดเป็นอื่น ชัยชนะของชัชชาติ คือคำตอบว่าเพื่อไทย “แดง-ระบอบทักษิณ” ยังครองใจคนกทม.ส่วนใหญ่

ยิ่งนายวิโรจน์ พรรคก้าวไกล ตามมาห่างๆ เป็นที่ ๒-๓ สลับไปมา ยิ่งเป็นตัวตอกย้ำ “ระบอบทักษิณ” ยังเหนียวแน่น

และเมื่อดูผลเลือกตั้งสก.ใน ๕๐ เขต
เพียงคร่าวๆ เบื้องต้น เพื่อไทยกับก้าวไกลยึดที่นั่งใน “สภากรุงเทพมหานคร” รวมกันไปได้มากกว่าครึ่ง

ในขณะที่ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ รวมกันแล้วได้ถึง ๒๐ ที่นั่งหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ
นี่เป็นผลเลือกตั้งที่นับไปประมาณ ๒๐%

แต่การที่ชัชชาติคะแนนนำไปกว่า ๒ แสนคะแนน ในขณะที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังอยู่ระดับ ๔-๕ หมื่น ก็คงไม่มีปัญหาที่ใครจะแซงชัชชาติขึ้นไปได้

เป็นอันว่า คนกทม.ผู้มีสิทธิออกเสียง ๔ ล้านกว่าคนซึ่งยังไม่ทราบว่าออกมาใช้สิทธิกันกี่เปอร์เซนต์ ประมาณครึ่งที่ออกมาใช้สิทธิ์

ต้องการเปลี่ยนกรุงเทพฯจากขั้ว “ประชาธิปัตย์” ที่ครองต่อเนื่องมาเกือบทุกสมัย ไปเป็นขั้ว “เพื่อไทย” ระบอบทักษิณ เป็นครั้งแรกในกทม.

แสดงว่า คนกรุงเทพฯ ต้องการ “ทดลองของใหม่” จากขั้วการเมืองเดิมบริหารกทม.จำเจมายาวนาน

อีกด้านหนึ่ง เป็นศิลปในการเลือกของคนกทม.ที่มักจะเลือก “ขั้วตรงข้าม” รัฐบาลเข้าไปบริหารกทม.

ชัชชาติ สามารถ “เปลี่ยนกรุงเทพฯ” ให้เป็นอย่างที่คนกทม.ต้องการได้หรือไม่นั้น นั่นเป็นคำถามง่ายมากกว่าที่จะถามว่า

“ชัชชาติจำได้หมดหรือเปล่า………
ว่ามีโครงการอะไรบ้างที่พูดไว้-สัญญาไว้ตอนหาเสียงนั่นน่ะ?”

แต่จริงๆ แล้ว ทั้งคนเลือกและคนที่ถูกเลือก ไม่ว่าจะเลือกคนไหนก็ตาม ต่างรู้โดยอัตโนมัติ ว่าจะไปเอาจริง-เอาจังอะไรกับคำหาเสียง

พูดแล้ว-ฟังแล้ว ก็กองทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะพูดน่ะ มันง่าย แต่ทำตามที่พูด ร้อยเรื่องได้ซักสิบเรื่อง ก็ขึ้นชั้นเป็นผู้ว่าฯ เทวดากทม.แล้ว!

แต่งานกทม.แม้เป็น “งานใหม่” ของคุณชัชชาติก็จริง แต่ไม่น่ามีปัญหา เพราะหนึ่งในกุนซือคนสำคัญของคุณชัชชาติ คือ
“นายนิคม ไวยรัชพานิช”

ใช่แล้ว นายนิคม อดีตประธานวุฒิสภาสมัย “สภาผัว-เมียยุคยิ่งลักษณ์” อดีตแกนนำไทยรักษาชาติ และอดีตรองปลัดกทม.

ดังนั้น การเป็นผู้ว่าฯ กทม.ของคุณชัชชาติ ถือว่าไม่ตัวเปล่าเล่าเปลือยซะทีเดียว อย่างน้อย ก็ยังมีมือเก่าจากกทม.เป็นกุนซือ

อีกคนที่น่าทึ่ง คือ….
“พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก” อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เป็นเสนาธิการในทีมยุทธศาสตร์การหาเสียงเลือกตั้งให้ชัชชาติ

สำหรับ “พลเอกนิพัทธ์” ผมชอบงานท่านด้านวิชาการทั้งประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์ ถือว่าเป็นมือดีคนหนึ่งของกองทัพ

ท่านขึ้นมาเป็น “ปลัดกลาโหม” ยุคยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ และเป็นรัฐมนตรีกลาโหม

ในการประชุมสภากลาโหม ปี ๒๕๕๖ เกี่ยวกับบัญชีแต่งตั้ง-โยกย้ายนายทหาร ลงตัวแต่งตั้งพลเอกนิพัทธ์เป็นปลัดกห.ยิ่งลักษณ์ตอบนักข่าวว่า

“ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แล้ว ทั้งนี้ ผบ.เหล่าทัพ ต่างก็เห็นด้วย และไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด”

ชัชชาติ มีกุนซือซ้าย-ขวาระดับนี้ กทม.ยุคใหม่ในเครือข่ายทักษิณ อาจสร้างผลงานตอบสนอง “สมใจอยาก” คนกทม. ก็เป็นได้

เลือกตั้ง กทม.หนนี้ ไม่แน่ใจว่าจะมีคนออกมาใช้สิทธิ์ถึง ๖๐%หรือไม่ อย่างเขตที่ผมไปใช้สิทธิ เบาบางมาก บ่ายสองยังเห็นบัตรไม่ถึงครึ่งหีบเลย

ถ้าไปเลือกตั้งกันไม่ถึง ๗๐% ขึ้นไป ก็แน่นอน….

คนที่ออกมาใช้สิทธิ จะเป็นคะแนนฐานของพรรค ดังนั้น ชัชชาติ-เพื่อไทย, วิโรจน์-ก้าวไกล และสุชัชวีร์-ประชาธิปัตย์ จึงมีคะแนนฐานรองรับ

ส่วนพล.ต.อ.อัศวิน สกลธี ลงอิสระเหมือนชัชชาติ แต่อิสระชัชชาติ “ชัดเจน” ว่าตัวแทนเพื่อไทยโดดๆ

ส่วนอิสระ “อัศวิน-สกลธี” นอกจากแย่งคะแนนฐานกันเองแล้ว ยังมะลำ-มะเลือง ว่าใครเป็นตัวแทนพรรคพลงประชารัฐกันแน่?

สรุปแล้ว ในความเห็นผม………
ผลเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนว่าคนกทม. “ถูกใจ-พอใจ” นโยบายชัชชาติโดยตรง

หากแต่สะท้อนกว่า “คนเสื้อแดง” ยังเหนียวแน่นใน “ระบอบทักษิณ” และออกมาเลือกตั้งกัน จะเห็นว่าคะแนน “ทุกเขต” ชัชชาตินำ

ถ้าคนกทม.กว่า ๔ ล้านคนที่มีสิทธิ ออกมาใช้สิทธิกันเกิน ๗๐% ถึงชัชชาติชนะ แต่คะแนนจะไม่ทิ้งห่างที่ ๒ ที่ ๓ เป็นที่ ๔ เป็นแสนๆ คะแนนอย่างนี้

และนี่ เป็นสัญญานถึงการเลือกตั้งสส.ที่จะถึงต้นปี ๖๖ หรือไม่?

ผมว่ามีผล ตราบใดที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลขณะนี้ ไม่มีความชัดเจนที่ลงตัวในอำนาจนำ
ว่าระหว่าง “พลเอกประวิตร” กับ “พลเอกประยุทธ์”

ใครกันแน่….?
ที่จะถือธงนำในความเป็น “พรรคพลังประชารัฐ” ในศึกสนามเลือกตั้งใหญ่ที่จะถึง

ในขณะที่ขั้วตรงข้ามคือ “เพื่อไทย” ชัดเจนแล้ว ทักษิณส่งลูกสาว “อุ๊งอิ๊ง” มาเป็นตัวนำในศึกเลือกตั้ง หวังเป็นนายกฯคนที่ ๓ ของตระกูลชินวัตร

ชีวิตที่ต้องดิ้นรนในการอยู่กิน คือชีวิตคนระดับกลาง-ล่าง นั่นจึงทำให้เขาสนใจการเมืองในด้านว่า ใครมาเป็นรัฐบาลแล้วจะเอาเงินมาแบ่งปัน

ส่วนเรื่องอื่นๆ อันเป็นการวางรากฐานอนาคตสังคมชาติบ้านเมือง เป็นเรื่องคนระดับกลาง-ล่างถือว่า “ห่างชีวิตประจำวัน” เขา

ดังนั้น เขาจึงมุ่งหวังการเมืองที่จะบันดาลเฉพาะหน้า และคนส่วนนี้เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ที่พยายามดิ้นรนจากปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า โดยไม่สนว่า ต้นปัญหามันมาจากไหน

เมื่อมีเลือกตั้ง นั่นเท่ากับ “แสงสว่างปลายอุโมง” ที่คนระดับกลาง-ล่างกว่า ๔๐% ของประชากร จะพุ่งออกไปสู่

ดังนั้น จึงไม่แปลก …….
ถ้าคนออกไปเลือกตั้งน้อย ในส่วนน้อยที่ออกมาใช้สิทธิ คือคนส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง

ส่วนคนระดับกลางกระเดียดบนขึ้นไป ซึ่งมีประมาณ ๒๐% ชีวิตสุขสบายแล้ว การเมืองน่ะ..สนใจ แต่การออกไปใช้สิทธิ..ไม่ว่าง มีธุระ หรือ ช่างมัน ฉันไม่เกี่ยว!

ฉะนั้น ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และสก. จะสร้างความฮึกเหิม คึกคักให้พรรคเพื่อไทย มีความมั่นใจจะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งใหญ่มาก

ระบอบทักษิณจะได้กลับเข้ามาควบคุมอำนาจประเทศอีกครั้งแน่ เขามีสิทธิ์มั่นใจ!

ศึกกทม.ฝ่ายรัฐบาลก็แพ้

ฟุตบอลซีเกมส์ ไทยก็แพ้เวียดนาม ยังดีที่วอลเลย์บอลหญิงกู้หน้าไว้ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร ดีซะอีก ถ้าชนะอยู่ฝ่ายเดียวร่ำไป

เคยเป็นมั้ย………
โรค “เบื่อหนายชัยชนะ” น่ะ!


Written By
More from plew
“น้ำคำ” ถึง “น้ำประปา” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ถ้ามีเหลือ…….. ขอผมเล่มนะครับท่านรองนายกฯ “วิษณุ เครืองาม” หนังสือ “โลกนี้คือละคร” ที่ท่านเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ สมัยเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณนั่นน่ะครับ
Read More
0 replies on “เมื่อ “กทม.เปลี่ยนยุค” – เปลว สีเงิน”