เปลว สีเงิน
ทักษิณนี่…..
เหมือน “หมาเห่าเครื่องบิน” หนักขึ้นทุกวัน!
คือตั้งแต่ส่งลูกสาวเข้ามา หวังให้ “สืบต่ออำนาจโกง” ก็ขยันออกคลับเฮาส์ โปรโมทคอกซะจริงๆ
เห่าใส่แต่นายกฯ ประยุทธ์นั่นแหละ
ชาวบ้านเขาหนวกหูรำคาญ รู้มั้ย…ถ้าเป็นตามถนนละก็ ป่านนี้ ถูกสาดด้วยน้ำหน่อไม้ดองไปแล้ว จะได้หายคันขี้เรื้อน หยุดเห่าซะที
แล้วแบบนี้ คอกเพื่อไทยจะแลนด์ไสลด์ได้ยังไง เพราะเท่ากับแบไต๋ให้ชาวบ้านเห็นหมดแล้ว ว่า
“เว้ย..เฮ้ย ไอ้แม้วมันกลัวลุงตู่จนขี้ขึ้นสมองเลยว่ะ ถึงเห่าทุกวัน”!
ก็คิดดูซี เคยเห็นใครอิจฉาขอทาน แล้วหยิบยกมาพูดถึง วิจารณ์ถึงทุกวี่-ทุกวันบ้างล่ะ?
เห็นมีแต่อิจฉาคนเก่งกว่า อิจฉานายทุนที่รวยกว่า หยิบยกขึ้นมาด่าว่า วิจารณ์เขา ด้วยอิจฉาริษยา
เรียกว่า “ความเก่ง-ความรวย” ของคนนั้น เข้าไปกดทับหัวอก-หัวใจ มีโอกาสเป็นต้องยกขึ้นมา กระแนะ-กระแหน หยามเย้ย วิจารณ์เขาต่างๆ นานา ทุกครั้งไป
อย่างทักษิณนี่เหมือนกัน หมายมั่นปั้นมือ เลือกตั้งบัตร ๒ ใบเที่ยวนี้ คอกเพื่อไทยแลนด์สไลด์แน่
มั่นใจถึงขั้นวางตัวลูกสาวเป็น “ว่าที่นายกฯ” สืบต่ออำนาจครอบครัว
พรรคที่จะลงตลาดเลือกตั้งมีเป็นร้อย หมายความว่า ตัวแข่งที่จะเข้าไปมีอำนาจเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ มีเป็นร้อย
แต่ทักษิณไม่พูดถึง ไม่วิจารณ์ถึงใครเลยซักคน
เจาะจง”นายกฯประยุทธ์”คนเดียว!
เพราะอะไร…?
เพราะคนอื่นทักษิณไม่กลัว จึงไม่ให้ราคาที่จะยกมาพูดถึง กลัวแต่นายกฯประยุทธ์คนเดียวเท่านั้น
“แลนด์สไลด์” ของเพื่อไทยที่หวัง จะต้องกลายเป็น “ตัวแลน” ที่สไลด์ลงรูท่อ ก็เพราะนายกฯประยุทธ์นี่แหละ!
ดังนั้น………
ทักษิณถึงต้องเห่า-ต้องหอนไม่เว้นวางไงล่ะ
แต่ก็อย่างที่ว่า “หมาเห่าเครื่องบิน” แหงนเมื่อยคอเปล่า เพราะนายกฯ “อยู่ที่สูง” ทั้งไม่จำเป็น ทั้งไม่ให้ราคา แค่จะจุ๊ปาก ก็มากไปแล้ว สำหรับคนโกงที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่!
เห็นกระเทียบ-เปรียบเปรย นายกฯ โง่-นายกฯ ฉลาด ช่างไม่สำนึกในกะลาหัวซะเลย
คนโง่อย่างพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ ทั้งอยู่เหนือ-ทั้งในรัฐธรรมนูญ ร่วม ๘ ปี ก็ยังเป็นอยู่
แต่คนฉลาดอย่างทักษิณ กลับเป็นสัมภเวสี ผีเร่ร่อน ถึงขณะนี้ ร่วม ๒๐ ปี และเป็นที่หวังได้ จะไม่มีบุญวาสนาแม้กระทั่งกระดูกจะได้กลับมาฝังในแผ่นดินที่ “พระมหากษัตริย์” ทรงก่อร่างสร้างชาติไว้
คงเห็นใกล้สิงหา……..
ก็เชื่อไอ้พวกมือกฎหมายรับใช้โจรในคอกนั่นแหละว่า จะครบ ๘ ปี ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน มาตรา ๑๕๘ แล้ว ที่บอกว่า “นายกฯจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน ๘ ปี ไม่ได้”
ฉะนั้น สิงหา.ที่จะถึงนี้
“ประยุทธ์ต้องลงจากเก้าอี้นายกฯ” เป็นต่อไม่ได้แล้ว!
ทักษิณจึงหยิบเรื่อง ๘ ปี ของนายกฯมาเห่าเมื่อวานซืน ให้หมาหน้าคลับเฮาส์หอนรับ
อพิโธ่-อพิถัง แม้วเอ้ย….ก็สมแล้ว ที่ฉลาดจนไม่มีแผ่นดินอยู่ ถูกมือกฎหมายในคอก “หลอกแดก” อีกแล้ว
เรื่องกฏหมายน่ะนะ นักกฎหมายสำนักดอนหอยหลอดจะบอกให้เอาบุญ
จะหยิบเฉพาะคำ-เฉพาะประโยค ในวรรค ในบรรทัดใดบรรทัดหนึ่ง มาทึกทักสรุปเอาตามที่ใจต้องการ มันไม่ใช่ และอย่างนั้น มันไม่ได้หรอก
จะต้องย้อนไปดูมาตั้งแต่ว่าความเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ คืออะไร คือการมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ทั้้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการใช่มั้ย?
ต้องไปดูคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อปี ๒๔๙๖ ที่องค์คณะมีคำวินิจฉัยประเด็นรัฎฐาธิปัตย์เป็นบรรทัดฐานไว้ และคำพิพากษาฎีกาต่อๆมา ก็ยึดตามแนวนั้นตลอด
และต้องไปดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านไปยื่นให้ “ตีความคุณสมบัติ” พลเอกประยุทธ์ ที่ว่าไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้
เพราะหัวหน้าคสช.ถือเป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” นั่นด้วย เพราะฝ่ายค้านอ้างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐(๖)
ที่ระบุว่า “รัฐมนตรีจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ ซึ่งในมาตรา ๙๘(๑๕)เขียนไว้ว่า
“ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ”
และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาเป็นเอกฉันท์ สรุปประเด็นได้ว่า
“…….ตำแหน่งหัวหน้า คสช.มาจากการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ ๒๒ พ.ค.๕๗ และต่อมา ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้า คสช. เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน
เห็นได้ว่า การแต่งตั้งตำแหน่ง หัวหน้า คสช.เป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจและเป็นตำแหน่งที่ใช้อำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
โดยเห็นได้จากการออกประกาศและคำสั่งหลายฉบับ หัวหน้า คสช.ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐใด
ทั้งเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายกำหนดกระบวนการวิธีได้มาหรือการเข้าสู่การดำรงตำแหน่ง
โดยมีอำนาจหน้าที่เป็นการเฉพาะชั่วคราว ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและประชาชน
ดังนั้น ……….
ตำแหน่งหัวหน้า คสช.จึงไม่มีสถานะตำแหน่งหน้าที่หรือลักษณะงานทำนองเดียวกันกับพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ตามมาตรา ๙๘(๑๕)
ผู้ถูกร้อง จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๖๐(๖๐) ประกอบมาตรา ๙๘(๑๕)
อาศัยเหตุผลดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะเหตุที่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๐ วรรค ๑ (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๖) และมาตรา ๙๘(๑๕)”
เนี่ย….
องค์ประกอบทางกฎหมายเพียงคร่าวๆ ที่ผมยกมาให้เข้าใจว่า อย่าอ่านรัฐธรรมนูญเฉพาะวรรค-เฉพาะตอน แล้วสรุปฟันธง ไปทางที่ตัวเองต้องการ
ต้องอ่านให้หมด ให้จบ ให้ครบความ เพราะแต่ละคำในกฎหมายมีความหมายเชื่อมโยงต่อติดไปยังมาตราอื่นๆ อีกมากที่ต้องนำมาประมวล ประกอบความ สู่การวินิจฉัยสรุป
อย่างเรื่อง ๘ ปีของนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๘ มีตั้ง ๔ วรรค และเขาก็เขียนไว้ชัดเจน
แต่พวกนักกฎหมายในคอก กลับหยิบเฉพาะวรรคเดียวที่ว่า…….
“นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่…”
แล้วตีขลุมเอาเฉพาะตรงนี้ ป่าวร้องชี้นำ อ้างรัฐธรรมนูญโน้มน้าวให้คนเชื่อ
“เห็นมั้ย…ประยุทธ์เป็นนายกฯ มาตั้งแต่สิงหา ๕๗ จะครบ ๘ ปี สิงหา.นี้แล้ว เป็นต่อไม่ได้แล้ว ต้องลง”
คนอ่านกฎหมายเฉพาะวรรคที่ยกมาให้ดูก็ร้อง…เออ จริงด้วย!
แต่ไม่ใช่หรอกครับ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๘ ทั้ง ๔ วรรค มีดังนี้
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
-นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙
-ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
-นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง
ก็จะต้องร้องอ๋อทันที ……
คือ ๘ ปี ของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้และมาตรานี้ระบุถึง ต้องอยู่ในข่าย ว่า
นายกรัฐมนตรีคนนั้น….
“ต้องแต่งตั้งมาจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙”
และ “ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี”
แล้วช่วงปี ๕๗ จนถึง ปี ๖๒ คนที่เป็น “นายกคสช.” คือพลเอกประยุทธ์ ได้รับแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ หรือเปล่าล่ะ?
ก็เปล่า ก็ไม่ใช่!
แล้วมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯคสช.หรือเปล่าล่ะ?
ก็ไม่มี ไม่ใช่!
ก็ชัดเจนตามตัวอักษรเลยทีเดียวว่า นายกฯตามมาตรา ๑๕๘ นี้ หมายถึงนายกฯที่มาจากการเลืกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
นายกฯ คนนั้น สภาผู้แทนราษฏรต้องให้ความเห็นชอบ คือต้องมาจาก “นายกฯ ตามบัญชีเลือกตั้ง” ของพรรคเสนอ
และนายกฯ คนที่ว่านี้ ประธานสภาผู้แทนฯ ต้องเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
นั่นคือ พลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นนายกฯ คสช.ถือเป็นนายกฯนอกรัฐธรรมนูญ และนอกมาตรา ๑๕๘ ที่ทึกทักกัน
ต่อเมื่อเลือกตั้งแล้ว สภาผู้แทนฯโหวตให้เป็นนายกฯ ประธานสภาผู้แทนฯ รับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกฯเมื่อ ปี ๒๕๖๒ แล้วนั้นแหละ
พลเอกประยุทธ์ เพิ่งเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ อยู่ในกรอบกฎหมายมาตรา ๑๕๘ และ ๑๕๙ จะครบ ๔ ปี เดือนสิงหา.นี่เอง
สรุป……..
“ตู่ ตลาดแตก” เป็นต่อได้อีก ๔ ปี จนถึง ๒๕๗๐ โน่นเลย
ผมพูดผิดตรงไหน เอาปากกามาวง!