บทสะท้อน “โกดังชาบู” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

“เฟซบุ๊ก” ไม่เคยฆ่าใคร
มีแต่ “คนโพสต์” เฟซบุ๊กเท่านั้น ที่ “ฆ่าตัวเอง” หรือ “ชุบชีวิตตัวเอง” ให้ฟื้น!
กรณี “มธุรา อดเหนียว” (แก้ว) เจ้าของร้าน “โกดังชาบู” ตลาดพลู เจ้าของวาทะ “กูไม่ปิด ล็อกดาวน์อีก กูก็จะเปิด” เป็นตัวอย่างที่ดี
เธอไลฟ์สดถึงนายกฯ ร้องห่มร้องไห้ ว่าโควิด ทำให้เจ๊ง เป็นหนี้สิน สามีป่วยซึมเศร้า ต้องดูแลลูกเล็ก ๒ คน คนงานอีก ๗ คน
ไม่ไหวแล้ว…ประกาศ “ปิดกิจการ”!

ไม่ต้องเล่ารายละเอียด เพราะเรื่องของเธอ “โซเชียลแตก” ๒-๓ วันที่ผ่านมา

วานซืน “คุณจุติ ไกรฤกษ์” รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ “นางพัชรี อาระยะกุล” ปลัดกระทรวงฯ
ยกคณะไปช่วยแก้ปัญหาให้นางสาวมธุราถึงร้าน

รัฐมนตรีจุติ บอกว่า……..

“วันนี้ ผมมาในฐานะตัวแทนรัฐบาล เพื่อมาช่วยเหลือประชาชน
ขณะนี้ รัฐบาลมีโครงการประนอมหนี้ โดยให้ “ธนาคารของรัฐและเอกชน” เข้ามาช่วยแก้ปัญหา

ทั้งนี้ รัฐบาลอยากให้ทุกท่านรู้ว่า ท่านไม่ได้อยู่คนเดียว เราไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และพร้อมให้โอกาสคนที่ทำงานโดยสุจริต เมื่อเศรษฐกิจฟื้นจากสถานการณ์โควิด-19 ก็จะทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้”

ผมไล่ดูคลิปที่หลายสำนักข่าวเผยแพร่ ทำให้เข้าใจตัวตนเจ้าของ “โกดังชาบู” พอสมควร
คุณมธุรา พูดเก่ง ถ้าปรับคิด-ปรับใช้มุ่งทางค้าขาย “ร้านแตก” เพราะลูกค้าเต็มแน่

มีตัวอย่างจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง ปัญหาเดียวกับเธอเป๊ะ เขาเกือบฆ่าตัวตาย
แต่เพียงใช้ “ผงมธุรส” เท่านั้นแหละ วันนี้ “ทำไม่ทัน”!

คุณมธุราลองปรับใช้ “ผงมธุรส” ดูบ้างซีครับ
ผมอ่านจาก Sanook News ยาวมาก จะยกมาพอเป็นตัวอย่าง คลิกไปอ่านเต็มๆ ได้ที่ :https://www.sanook.com/news/8511518/

คือเมื่อ ๒๗ มค.๖๕ ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เล่าเรื่องราวที่เขาสั่งอาหารร้านเดิม ๓ วันติดต่อกัน
ปรากฏว่า ร้านอาหารส่งจดหมาย “เขียนด้วยลายมือ” มาขอบคุณ พร้อมแถมส้มมาให้ ข้อความบนจดหมายระบุว่า

“เรียนคุณกาญจน์ค่ะ (ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมถึงจำชื่อได้ เพราะตั้งแต่เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแกร็บไป 5 วันทางร้านมีออเดอร์เดียว คือของคุณกาญจน์ 555)

กระดาษแผ่นนี้ ที่เขียนขึ้นมาก็แค่อยากขอบคุณ ขอบคุณคุณกาญจน์ที่เปิดโอกาสให้ทางร้านได้เรียนรู้ระบบแกร็บได้มีภาพอาหารไปลงเมนู

ที่สำคัญได้กำลังใจดี ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นกำลังใจเดียวในแต่ละวันช่วงนี้ แต่ยังไงก็รู้สึกดี และรู้สึกอยากขอบคุณยิ่งนัก
ขอบคุณที่เปิดบิลแรกให้ในวันที่ 23 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา และอยากขอบคุณอีกครั้ง ที่กลับมาทานต่อในวันที่ 24 มกราคม 2565

และต้องขอบคุณอีกครั้งที่กลับมาทานในวันนี้ ขอบคุณจากหัวใจ”
PJ Kitchen & PJ Coffee
……………………..

ต่อมา ร้าน PJ Kitchen & PJ Coffee โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของร้าน ว่า
หลังจากที่ทางร้านไปขอลูกค้าจากพระมาเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา จู่ ๆ วันนี้ก็ “ครัวแตก”

มีออเดอร์มา ทะลุ 100 ออเดอร์ละ ต้องปิดรับออเดอร์ไป เพราะทางร้านมีพนักงานเพียงแค่ 3 คนครึ่ง ด้วยความไม่ตั้งตัวและวัตถุดิบที่เตรียมไว้ไม่พอ

เพราะทางร้านได้เตรียมข้าวไว้เพียง 15 จานเท่านั้น ซึ่งปกติเรามีออเดอร์เพียงวันละ 1 ออเดอร์เท่านั้น จึงอาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ

จึงฝากคำขอโทษส่งไปถึงลูกค้าด้วยและจะปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมขอลูกค้าอย่าโกรธกันนาน และให้โอกาสร้านใหม่อีกครั้ง

โดยทางร้านนั้น จะตั้งใจทำเมนูทุกเมนูให้คุณลูกค้าทุกท่านได้ทานอย่างดีที่สุด
ก่อนที่ต่อมา จะมีชาวเน็ตเข้ามาบอกกับทางร้านว่า…
“ที่จู่ๆ ทางร้านก็ออเดอร์พุ่ง เพราะมีลูกค้านำจดหมายของทางร้านไปแชร์ลงบนทวิตเตอร์นั่นเอง”
……………………

ภายหลังที่ยอดออเดอร์ถล่มทลาย ทางเพจเฟซบุ๊ก PJ Kitchen & PJ Coffee โพสต์ข้อความถึงคุณกาญจน์ ลูกค้าออเดอร์เดียวของวัน ซึ่งเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตเจ้าของร้าน โดยในโพสต์ระบุข้อความว่า…ฯลฯ….

เรียนคุณกาญจน์ค่ะ
“ตอนนี้ปิดร้านเรียบร้อยแล้ว เลยอยากจะมาเขียนพรั่งพรูความรู้สึกและคำขอบคุณที่มันยังอยู่ในใจผู้หญิงคนนี้อีกมากมาย

อยากจะบอก อยากตะโกนออกไปดังๆ เผื่อคุณกาญจน์จะกลับมาสั่งอีก
อยากส่งจดหมายนี้ให้ถึงคุณกาญจน์รับรู้ถึงความรู้สึกดีของคนคนนึง ว่ามันมากมายแค่ไหน วันนี้ได้เขียนไปบ้างแล้วในกระดาษ แต่ไม่ทราบว่าคุณกาญจน์จะได้รับมั๊ย

ถึงรึเปล่า อ่านออกรึเปล่า เพราะตอนนั้น มัวแต่ดีใจ กระดาษก็ไม่มี ปากกาหมึกก็จะหมด น้ำตาก็หยดลงไปบนตัวหนังสือ

อาหารก็ต้องทำ กลัว grab Riders จะมารอ มือก็สั่น ทั้งรีบ ทั้งลน ตอนนี้ มีเวลา เลยอยากตั้งใจเขียนถึงคุณกาญจน์ ว่า Order ของคุณกาญจน์ มันมีความหมายและช่วยให้คนอีกคนนึงเห็นแสงสว่าง และมีความหวังขึ้นมากมายขนาดไหน

ดิฉันไม่ได้รู้จักคุณกาญจน์……
ไม่เคยรู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าอายุน่าจะน้อยกว่าดิฉัน ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่นะคะ

เริ่มจากพี่เปิดร้าน PJKitchen and PJ Coffee มาเข้าปีที่ 6 แล้วนะคะ จากพนักงานบริษัท ลาออกจากงานมา เอาเงินที่มีมาลงทุนกับร้านทั้งหมด

เพราะเป็นคนชอบทาน และทานแต่ของดีดี เลยตั้งใจทำร้านนี้ขึ้นมา เพื่ออยากให้มีร้านดีดี คุณภาพดีดี ราคาไม่สูงมาก ลดแลกแจกแถมให้กับเด็กนักเรียน คนยากไร้ ต่างๆ นานา

แต่ตัวเองไม่มีความรู้หรือประสบการณ์อะไรเลยสักอย่างด้านนี้ เอาง่ายๆ คือกินเป็นอย่างเดียว ไม่ได้คำนวณ Fix cost หรือต้นทุนอะไรมาเลย

จากที่คิดว่า จะเอาทุนคืนมาได้ในเดือนที่ 13 ก็ไม่เป็นเช่นนั้น 1-2 ปีแรก บอกเลยค่ะ เละเทะไปหมด
มีแต่ติดลบ ขาดทุนมาทุกเดือน ค่าแรงและสวัสดิการที่จ้างสูง ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่า ที่แบกไว้หมดทุกอย่าง คือขายดีจนจะเจ๊งเคยได้ยินมั๊ยคะ

ปัญหาต่างๆ เข้ามาให้แก้ไขไม่ขาดสาย ล้มลุกคลุกคลาน กว่าอะไรจะลงตัว ก็ปามาปีที่ 3 เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง จากทำอะไรไม่เป็นก็เริ่มทำเป็น

กลับมีพายุรอบแรก พัดเข้ามา คือฝุ่น 2.5PM จากที่เคยขายดี พฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนไป เริ่มมี Delivery เข้ามา แต่พี่ยังไม่เข้าร่วม

เพราะรู้ว่าค่า GP มันสูง เราต้องบวกราคาเข้าไปอีก ไม่อยากผลักภาระไปหาลูกค้า จนขายมาเรื่อยๆ ซึ่งยังพอขายได้บ้างถึงจะไม่ดีแบบเดิม

แต่พอพายุระลอก 2 Covid-19 รอบ1 อันนี้หนักเลย ร้านถูกปิด รายได้ไม่มี แต่ค่าใช้จ่ายยังเดิน
ค่าแรง ค่ากิน ค่าที่พักของเด็กในร้าน และของตัวเองยังเดิน ไม่มีเงินหมุน พยายามหาเงินมาทั้งกู้และรับพวกเนื้อย่างมาปิ้งขายหน้าร้านกำไรไม้ละ 2 บาท เพื่อจ่ายให้เด็ก

ตัวเองไม่ต้องพูดถึง ตลอด 6 ปีนี้ ไม่เคยได้พักและไม่เคยมีเงินเดือน

หลังจากนั้น เริ่มกลับมาเปิดร้านขายอาหารปกติในร้าน แต่แบบ Take away เท่านั้น สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น

จากที่ไม่อยากเข้าร่วมพวก Delivery ต่างๆ ก็เริ่มสมัคร Line Man, Grab ดู แต่ไม่เข้าร่วม GP เพราะไม่อยากปรับราคาอาหารขึ้น

ของ Line Man สามารถขายได้เลย แต่ของ Grab แจ้งว่าต้องมี Sales ติดต่อกลับมา จนผ่านมา 2 ปีกว่า เชื่อมั๊ยคะ ว่าไม่มี Order สักรายการเดียวจาก Delivery ทาง Grab ก็ไม่ติดต่อมา

ซึ่งสถานการณ์ทางร้านมันมีแต่เลวร้ายลง ปัญหารุมเร้ามาทุกทาง ต้องหากู้หนี้ยืมสินมาทุกช่องทางเพื่อพยุงร้านไว้ให้ได้

ยอมรับว่า เคยคิดจบชีวิตตัวเองหลายครั้ง แบบไปต่อไม่ไหวแล้ว อายุก็มากขึ้น สมัครงานที่ไหนก็ลำบาก มีโรคประจำตัวอีก

มองไม่เห็นทางออก ไร้การเยียวยา ยิ่งพอมี Covid-19 รอบ 2, 3, 4 มาอีก มันเหมือนฉายหนังซ้ำๆ วนอยู่แบบเดิม

วัตถุดิบก็ขึ้นราคาหนักมาก ยิ่งพยายามดิ้นรนต่อสู้ มันยิ่งรัดตัว แต่พอหันมามองข้างหลัง ก็ได้สติว่าเราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลังได้สักคนT”T

เลยกัดฟันลุกขึ้นสู้อีกรอบ ทำลายความคิดตัวเอง ไม่เอาคำพูดคนที่คอยบั่นทอนใจเรามาทำร้ายเราอีก

พี่เคยได้ยินลูกค้าเคยบ่นเรื่องอาหารว่าแพง เอาร้านพี่ไปเปรียบร้านข้างทาง ต่างๆ นานา ยอมรับว่าเสียใจและเป็นแผลในใจถึงทุกวันนี้

หลายคนบอกว่า ลูกค้าเค้าไม่รู้ว่าค่าเช่าพี่กี่หมื่น ค่าเด็กในร้านคนละกี่หมื่น เค้าไม่รู้ว่าพี่ใช้เนื้อสัตว์อนามัยทุกอย่าง

ผักปลอดสารพิษออร์แกนิค ข้าวหอมมะลิแท้100% ที่ดีมากๆ ซึ่งร้านใหญ่ๆ ยังไม่กล้าใช้ ไข่ไก่ต้องมีตราประทับอนามัยเท่านั้น

ใช่ค่ะ ลูกค้าไม่รู้ แต่พี่รู้ พี่อยากให้ลูกค้าพี่กินของดีดี แบบที่พี่กิน พี่ไม่ได้อยากขายเฉพาะลูกค้าขาจร แต่พี่อยากให้ลูกค้าพี่กินแล้วกลับมาใหม่

ถึงแม้ว่า ต้องเพิ่มราคาขึ้นไปอีกนิดสำหรับ Delivery ทั้งที่ยังไม่ได้กำไรเลย แต่พี่ต้องการให้มีการระบายสินค้า และเงินหมุนเวียนก่อน

ถึงแม้ว่า จะไม่อยากผลักภาระไปให้ลูกค้า แต่ตอนนี้พี่เองก็ไม่สามารถแบกรับภาระทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียวเช่นกัน
เลยเข้าร่วมจ่าย GP กับ 2App. นี้ใหม่ เมื่อ 22-01-2022 ที่ผ่านมา โดยจะจ่ายค่า GP รวมภาษีที่ 32.1% และมาจ่ายค่าโฆษณาอีกวันละ 80 บาท ต่อApp.

วันแรกก็มีเพื่อนๆ ช่วยสั่งซื้อให้ในวันที่ 22/01/2022 พอวันที่ 23/01/2022 พี่นั่งรอทั้งวัน ไม่มีสัก Order 2 ทุ่มแล้วพี่เลยปิดร้าน

เดินออกไปแล้ว ประมาณ 2 ทุ่มกับ 4 นาที ได้ยินเสียง Order จาก Grab พี่กระโดดกอดคอกับแม่ครัว รีบมาไขประตูร้านมาทำอาหารให้คุณกาญจน์

คือแบบดีใจมากๆ ดีใจสุดๆ ทำผิดทำถูกก็ไม่รู้ พอมาวันที่ 24/01/2022 เวลาเดิม ก็มี Order คุณกาญจน์มาอีกครั้ง
ถึงเป็น Order เดียวของทั้งวัน ก็ดีใจอีกรอบ ที่กลับมาซื้อใหม่ พอมา วันที่ 25-26/01/2022 ก็นั่งรอดู App. Refresh ตลอด บอกแม่ครัวว่ารอจนกว่าวินาทีสุดท้ายของApp.ปิดนะ เผื่อคุณกาญจน์จะมาสั่งอีก

สรุปไม่มีมา 2 วัน ก็มานั่งคิดว่า เราพลาดอะไรไปนะ อาหารไม่ถูกปากรึเปล่า แพงไปแน่เลย คิดต่างๆ นานา
และก็ปลอบใจตัวเอง ว่าใครจะมาซื้อข้าวกินมื้อละ 300 กว่าบาทได้ทุกมื้อ เลยเริ่มทำใจ ว่าทางนี้ สำหรับพี่คงไม่ไหว

เราแบกทั้งหน้าร้านและบน App. แบบนี้ไม่ไหวแล้ว พยายามหาวิธีอื่น ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
คืนวันที่ 26-01-2022 ตรงกับวันพุธ หลังปิดร้าน เพื่อนพี่จึงชวนไปไหว้พระขอพร “พระพิฆเนศ” ที่ห้วยขวาง พี่ก็ขอแบบตรงๆ เลยว่า

ถ้าอยากให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อมีโอกาสได้ช่วยเหลืออีกหลายชีวิตให้เค้าสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ขอให้พี่กลับมาค้าขายได้ ให้พี่ช่วยคนที่เค้าลำบากได้มีกิน ช่วยส่งลูกค้ากลับมาหาพี่เหมือนเดิมได้มั๊ย

เช้าวันที่ 27-01-2022 จากปกติไม่มีลูกค้าเลย พี่ได้ลูกค้ามา 1 โต๊ะ 4 ท่าน และช่วงเที่ยงได้ 4-5 คน และ ช่วงค่ำอีก 3-4 คน

และพอถึงเวลาเดิม 2 ทุ่ม มี 1 Order เดียวของพี่เช่นเดิมของคุณกาญจน์เข้ามา พี่เลยรู้สึกตื้นตันใจแบบอยากเล่าให้คุณกาญจน์ฟัง

มันน้ำตาไหลแบบไม่อายเด็กในร้านเลย ดีใจแบบดีใจมากๆ จากไม่เคยมาสายมู วันนี้ทำให้พี่เชื่อว่า ท่านส่งคุณกาญจน์มาให้พี่ เพื่อให้พี่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อไปดูแลและแบ่งปันให้อีกหลายชีวิต

พี่เลยอยากขอบคุณคุณกาญจน์ ขอบคุณมากๆที่เหมือนกับให้ชีวิตใหม่พี่…ให้โอกาสพี่ไม่คิดสั้น…และให้โอกาสพี่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและตั้งใจทำอะไรดีดีให้กับอีกหลายๆ คนมากมายต่อไป

สุดท้าย อยากจะบอกคุณกาญจน์ว่า พี่คงจะไม่มีอะไรมาตอบแทนคุณกาญจน์มากไปกว่านี้ ทำได้เพียง “พี่จะไม่ใส่ผงชูรส” ลงไปในอาหารคุณกาญจน์นะคะ

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
………………………

“ผงมธุรส” ทำเองง่ายๆ ไม่ต้องซื้อหา แค่มีฝีมือ แล้วใส่ใจ, จริงใจ, เอาใจใส่, สร้างสายใย และซื่อสัตย์-ภักดีลงไป
แค่นี้แหละ ……..

ที่คร่ำครวญ “ชีวิตพังเพราะการบริหารงานของรัฐบาล” จะไม่เกิดขึ้นอีก!

 



Written By
More from plew
“กับดักคนล้มเจ้า” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ถ้าผมเป็นทักษิณนะ อ่านที่ “สมศักดิ์ เจียม” โพสต์เมื่อวาน ต้องบอกกับตัวเองว่า “เสียหมาเลย…ตู”! ก็ดูซี “สมศักดิ์ เจียม”...
Read More
0 replies on “บทสะท้อน “โกดังชาบู” – เปลว สีเงิน”