บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) ร่วมลงนามสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F จังหวัดชลบุรี โดยมีมูลค่าการลงทุนในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างหน้าท่าจำนวน 30,871 ล้านบาท มุ่งผลักดันท่าเรือแหลมฉบังสู่ประตูการค้า การลงทุน และเสริมยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการภายในปี พ.ศ. 2568
บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 ร่วมกับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) และ บริษัท เชค โอเวอร์ซี อินฟราสตรัคเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (CHEC OVERSEA INFRASTRUCTURE HOLDING PTE. LTD.: CHEC OVERSEA) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30 และร้อยละ 30 ตามลำดับ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมทุนฯ พัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของ ท่าเทียบเรือ Fเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของอีอีซี ที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ตามความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มมูลค่า และการบริหารจัดการขนส่งหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งจะช่วยพัฒนาและขยายพื้นที่หลังท่าของท่าเรือแหลมฉบัง ได้อย่างเต็มศักยภาพ
ด้าน เรือโทยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายบริหารการเงินและกลยุทธ์ องค์กร รักษาการแทนผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 จะสามารถรองรับเรือที่มีขนาดบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลกได้ มีการบริหารจัดการสินค้าด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยด้วยระบบอัตโนมัติ พร้อมทั้งจะมีโครงข่ายเชื่อมโยงหลังท่าเรือ ทั้งทางบก ทางราง และทางเรือชายฝั่ง อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนผสมผสานให้เป็นท่าเรือสีเขียว คำนึงถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง อันจะนำไปสู่ท่าเรือชั้นนำระดับมาตรฐานโลกต่อไป
นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทน GPC กล่าวว่า ทางกลุ่ม GPC รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมทำ PPP กับทางภาครัฐ ซึ่งการรวมตัวกันของกลุ่ม GPC นี้ถือเป็นการนำจุดแข็งที่แต่ละพันธมิตรมีมาร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ โดยทาง GULF พร้อมนำความแข็งแกร่งและประสบการณ์อันยาวนานในการพัฒนาและบริหารจัดการโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมาร่วมพัฒนาท่าเรือ ส่วนทางพันธมิตรอย่าง PTT TANK มีประสบการณ์ด้านการบริหารท่าเทียบเรือ การจัดการคลังสินค้า และการขนถ่ายผลิตภัณฑ์เหลว และ CHEC OVERSEA บริษัทลูกของ China Harbour Engineering Company Limited เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และโครงการท่าเทียบเรือตู้สินค้าระดับโลก โดยหลังจากลงนามเสร็จ จะเริ่มงานในส่วนของการออกแบบควบคู่ไปกับการเตรียมทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EHIA) ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเดินหน้าโครงการและพร้อมร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันให้เกิดท่าเรือที่จะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ที่จะสนันสนุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์อื่น ๆ ของทางกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดำเนินการถมทะเล ในขณะที่ GPC จะเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง ให้บริการ และซ่อมบำรุงรักษาท่าเทียบเรือ F1 และ F2 เพื่อรองรับการขนถ่ายตู้สินค้าด้วยระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งมีความสามารถในการรองรับการขนถ่ายตู้สินค้าได้อย่างน้อย 4,000,000 ทีอียูต่อปี โดย GPC จะได้รับรายได้จากการประกอบกิจการท่าเรือ เช่น ค่าภาระการใช้ท่าของเรือ ค่าภาระยกขนตู้สินค้า ค่าภาระการใช้ท่าของตู้สินค้า และรายได้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตและเงื่อนไขที่กำหนดภายใต้สัญญาร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เป็นระยะเวลา 35 ปี ทั้งนี้ คาดว่าท่าเทียบเรือ F1 จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 และท่าเทียบเรือ F2 จะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2572