ผักกาดหอม
ท่าทางจะจบยาก!
เห็นเด็กจุฬาฯ แชร์กลอนกันในเพจ “คณะจุฬา”
ก็เรื่อง ขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวนั่นแหละครับ ใครอยากรู้ทัศนคติของเด็กๆ เหล่านี้ต่อที่มาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ลองอ่านดูครับ
————-
….มหาวิทยาลัยอันสุนทร
กลายเป็นโรงละครแล้วหรือนั่น
สวมหัวโขนเต้นเร่าอย่างเมามัน
เลือดรักสถาบันเริ่มทำงาน
ความเป็นจุฬาฯ มาจากไหน
มาจากในสัญลักษณ์อัครฐาน ?
มาจากสรวงสวรรค์ดลบันดาล ?
หรือมาจากหมอบคลานประเพณี ?
ปากตะโกนก้องว่า “อย่าลืมราก”
แต่ลืมคนทุกข์ยากทุกถิ่นที่
เป็นเสาหลักค้ำฟ้าบารมี
แต่ฐานเสาบดขยี้ธุลีดิน
ตราพระเกี้ยวประทับตราทุกอาคาร
อยู่ทุกหัวเอกสารไม่หมดสิ้น
แค่ไม่แห่วอทองผยองบิน
ใครหลายคนก็ดีดดิ้นกินรังแตน
ให้แบกเองคงไม่กล้าจะมาแบก
เพราะที่หลังหนักแอกจนหลังแอ่น
สมัครใจก็เชิญแบกให้ตัวแบน
แต่จะให้แบกแทน กู ไม่ ทำ !
-มาลินี….
————-
เรื่องวิธีคิดและการเข้าใจปัญหา ดูจะเป็นปัญหาที่เจอกันมากในหมู่คนรุ่นใหม่บางกลุ่ม ที่เล่าเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ที่มาของจุฬาลงกรณ์ เป็นที่รับรู้ของสังคมทั้งในและนอกจุฬาลงกรณ์มานับร้อยปี
จุฬาลงกรณ์มาจากไหน สรวงสวรรค์ดลบันดาล หมอบคลานประเพณี อย่างนั้นหรือ
ความคิดที่ผ่านตัวอักษรนี้เต็มไปด้วยอคติ ไม่รับรู้ประวัติศาสตร์ที่มีข้อเท็จจริง และเป็นที่ยอมรับของคนไทย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มมาจากสมเด็จพระปิยมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน” ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ เพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองในกระทรวงมหาดไทย
ผู้ที่จบจากโรงเรียนนี้จะได้รับการถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ก่อนที่จะออกไปรับตำแหน่งในกรมต่างๆ ต่อไป
ต่อมาในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๔๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก”
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีพระราชดำริที่จะผลิตข้าราชการไปรับราชการในกระทรวงอื่นๆ อีก ไม่เฉพาะแต่กระทรวงมหาดไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๕๓ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นเป็น “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ทุนรอนใช้เงินที่เหลือมาจากที่ราษฎรบริจาคสร้างพระบรมรูปทรงม้า
สถานที่ตั้งคือวังของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อน คือบริเวณสนามศุภชลาศัยในปัจจุบัน
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่ ๑,๓๐๙ ไร่เป็นเขตโรงเรียน
แบ่งการศึกษาเป็น ๕ โรงเรียนย่อย คือ โรงเรียนรัฎฐประศาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา โรงเรียนแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา และโรงเรียนยันตรศึกษา เหมือนเป็น ๕ คณะ
ต่อมาทรงพระราชดำริขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ นี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่เฉพาะผู้ที่มุ่งรับราชการเท่านั้น
แต่เปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์จะศึกษาชั้นสูงทั่วไปก็เข้าศึกษาได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
และทางมหาวิทยาลัยได้กราบบังคมทูลขอพระราชทาน “พระเกี้ยว” สัญลักษณ์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย
พ.ศ.๒๔๕๙-๒๔๖๕
มีการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาระดับประกาศนียบัตร และการเตรียมการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญา มีการติดต่อกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ เพื่อให้ช่วยเหลือการเรียนการสอนของคณะแพทยศาสตร์
พ.ศ.๒๔๖๖-๒๔๘๐
เริ่มรับผู้สำเร็จหลักสูตรมัธยมบริบูรณ์เข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ และมีการปรับปรุงหลักสูตรและรับนักเรียนผู้จบประโยคมัธยมบริบูรณ์เข้าเรียนอีก ๔ คณะ
พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๙๐
เริ่มเน้นการเรียนการสอนพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการจัดเตรียมมหาวิทยาลัยคือนักเรียนจะต้องเลือกเรียนตามคณะต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยเปิดสอน ทำให้เกิดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น
พ.ศ.๒๔๙๑-๒๕๐๓
เป็นระยะเวลาของการขยายการจัดการศึกษาออกไป โดยเน้นระดับปริญญาตรีเป็นหลัก
พ.ศ.๒๕๐๔ จนถึงปัจจุบัน
เป็นช่วงเวลาของการขยายการศึกษาระดับปริญญาตรี และเริ่มพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ส่งเสริมการค้นคว้า วิจัย การอนุรักษ์และสนับสนุนศิลปวัฒนธรรม และการบริการทางวิชาการให้แก่สังคม มีการจัดตั้งสถาบันวิจัย สถาบันบริการ ศูนย์ และสำนัก เพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัยและพัฒนาตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ทุกวิถีทาง
ให้สมกับเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป
ครับ…ผมก็เที่ยวหาคัดลอกมาจากข้อมูลของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตั้งใจนำเสนอเพื่อให้เห็นว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จุฬาฯ มาจากไหน และพัฒนามาอย่างไร
แน่นอนครับไม่ได้มาจากสรวงสวรรค์ดลบันดาล หรือหมอบคลานประเพณี
แต่มาจากจุดเริ่มต้นที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์ฝึกฝนคนเพื่อไปพัฒนาบ้านเมือง
ไม่ต่างจากจุฬาฯ ในปัจจุบันที่ผลิตบัณฑิตไปพัฒนาประเทศทั้งภาครัฐ และเอกชน
ก็เหมือน ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงวางแผนพัฒนาประเทศเอาไว้ คนรุ่นหลังก็ได้ประโยชน์จากแผนดังกล่าวและพัฒนาต่อยอดไปอีก
การโยงเรื่อง สรวงสวรรค์ดลบันดาล หรือหมอบคลานประเพณี จะให้แปลความว่าอะไร?
ที่บอกว่า เลือดรักสถาบันเริ่มทำงาน ก็ชัดเจนว่าคนที่ใช้ประโยคเช่นนี้ มีอยู่กลุ่มเดียวคือ กลุ่มต่อต้านสถาบันพระมหากษัติรย์
ฉะนั้นถ้าเริ่มด้วยความคิดล้มล้างสถาบัน ก็มองข้อเท็จจริงอย่างอื่นไม่ออก
อีกประเด็นที่เห็นจากทัศนคติคนรุ่นใหม่ที่มองว่าการแบกเสลี่ยงคืองานที่ใช้แรงงาน เป็นงานชั้นต่ำ ไม่ใช้สมอง
อันนี้น่าจะมากไป!
เมื่อเรียกร้องคนเท่ากัน ก็ต้องมองงานที่คนทำให้เท่ากันด้วย
ถ้าดูถูกชนชั้นแรงงาน เป็นชนชั้นต่ำ เพราะทำงานชั้นต่ำ ไม่มีทางที่คนจะเท่ากันได้
เพราะความคิดที่ต่ำตม
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า