ผักกาดหอม
ซักฟอกรัฐบาลวันที่สอง…
ได้มาอีกอย่าง
ฝ่ายค้านชุดนี้ ปากจัดกันหลายคนครับ
ที่จริงรัฐบาลประยุทธ์ ไม่ได้มีอะไรเหนือรัฐบาลที่ผ่านๆ มาสักเท่าไหร่
เพียงแต่เราเคยมีรัฐบาลโคตรโกงในอดีต สร้างความเสียหายให้ประเทศ โดยเฉพาะโอกาสในการพัฒนา ตอนนี้สลับขั้วเป็นฝ่ายค้าน และกำลังตรวจสอบรัฐบาล
การทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” จึงไม่ศักดิ์สิทธิ์
เหมือนโจรชี้หน้าด่าคนอื่นเป็นโจร
ความน่าเชื่อถือจึงต่ำเตี้ย
แต่ใช่ว่าการซักฟอกจะไม่ได้อะไรเลยเสียทีเดียว
ครับ…ได้เห็นมิติใหม่ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อภิปรายไร้น้ำหนัก ชูป้ายไล่ดีกว่า
เพื่อไทยน่าจะติดโรคมาจากพรรคก้าวไกล
ในอดีตการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่ากันด้วยหลักฐาน โวหารแค่ส่วนประกอบ แต่คราวนี้โวหารนำ หลักฐานไม่มี แถมโชว์ป้ายไล่นายกฯ กลางสภา
เดิมทีการโชว์ป้ายอะไรพวกนี้ไม่มีครับ มันเสียมารยาท
แค่ปรบมือเชียร์ ท่านประธานที่เคารพก็เตือนแล้วว่าผิดข้อบังคับการประชุม
วานนี้เพื่อไทยไปทำป้ายรูปหน้านายกฯ ประยุทธ์ คาดตาสีดำพร้อมข้อความอักษรสีแดง “หยุดยุทธ์” มาโชว์ในสภา หัวเราะคิกคักชอบใจ
นับเป็นวิวัฒนาการของการประชุมสภา ในอนาคตก็น่าคิดว่าอาจพัฒนาเป็นป้ายเชียร์ ป้ายด่า ติดไฟ LED ชูในที่ประชุมสภากันสลอน
ภาพรวมการอภิปรายในวันที่สอง ออกแนวดรามา ใส่อารมณ์กันเยอะไปหน่อย
สาระก็พอมีอยู่บ้าง แต่คำด่าคำเสียดสี ๙๙%
นั่งฟังตั้งแต่เช้า รวบรวมคำอภิปราย ปากกล้าขาสั่นกันทั้งนั้น
ไม่มี ส.ส.คนไหนท้านายกฯ ประยุทธ์ให้ยุบสภาแม้แต่คนเดียว
มีแต่บอกว่าให้ลาออก แล้วปัญหาของประเทศจะแก้ไขได้ทันที
ลิเกหลอกเด็กครับ!
ลองดูครับว่าการอภิปรายทั้งวัน สมกับเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่
“ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ฉลาด ก็ไปลอกการบ้านเพื่อนมาไม่มีใครว่า”
“ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักทำ”
“ภูมิปัญญาไม่มี”
“ไร้ความรู้”
“ไม่มีใจแก้ปัญหา”
“แก้แบบวัวหายแล้วล้อมคอก โดยวัวตายแล้วค่อยจ่ายวัคซีน”
“ส่งมอบความทุกข์ถึงมือประชาชนอย่างไม่เหลื่อมล้ำ”
“ตัวการสร้างความทุกข์”
“มีอคติต่อโครงการจำนำข้าว”
“โครงการประกันรายได้เคยมีจุดรั่วไหลทุจริตขนาดใหญ่”
“ทำลายจำนำข้าว แต่ฆ่าชาวนา”
“ทรราชที่บ้าอำนาจ”
“ขึ้นศาลประชาชน”
“วัคซีนลวงโลก”
“ท่านแพ้ทุกแนวรบ ท่านชนะกับอะไรบ้าง ท่านทำสงครามกับความยากจนก็แพ้ เด็กนักเรียนก็แพ้เพราะการจัดการของท่าน มีชนะอยู่คนเดียวคือท่าน เพราะท่านทนมาก”
“ท่านกำลังใช้ถุงดำคลุมคนทั้งประเทศ และคนกำลังจะตายวันละ 100-200 คน ตายด้วยความอดอยาก และความคับแค้น นี่คือผลงานนายพลของท่านที่ดาวเต็มบ่า”
“หยุดเหยียบเบรกประเทศและให้คนอื่นมาเหยียบคันเร่งประเทศไทย”
ก็ฟังเพลินครับ นึกว่า คำขวัญท้ายรถสิบล้อ
มี ส.ส.พรรคก้าวไกล คนหนึ่ง อภิปรายใช้ได้ทีเดียว ชื่อ “วาโย อัศวรุ่งเรือง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดีกรีหมอมหิดล ได้นำตัวอย่างกัมพูชามาข่มไทยว่ากราฟ ป่วย ตายดีกว่า เพราะฉีดวัคซีนได้ดีกว่าไทย
ตายน้ำตื้นครับ
กัมพูชาฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” เป็นหลัก
ก่อนที่หมอคนนี้จะยกตัวอย่างกัมพูชา ก็ถล่มซิโนแวคอย่างหนัก
ถึงเวลาแล้ว คงต้องตีความคำว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจกันใหม่ว่า คืออะไรกันแน่
เวทีหลอกด่า
เวทีหาเสียง
หรือเวทีชำแหละรัฐบาลเพราะไม่อาจให้บริหารประเทศอีกต่อไป
ย้อนกลับไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เมื่อเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ตามนี้ครับ
…นายกฯ มีพฤติกรรมเอื้อพวกพ้อง เอื้อญาติ ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ซึ่งการที่นายกฯ ระบุว่าจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงสีในปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ นั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะได้มีการติดตั้งไปแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ แล้ว ผมขอท้านายกฯ และรัฐมนตรี ให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบโกดังเก็บข้าวกับผม เพื่อดูว่าขณะนี้ข้าวสารเป็นอย่างไรบ้าง หากพบข้าวที่ปกติผมก็พร้อมจะรับผิดชอบ ให้ลาออกจาก ส.ส.ก็ได้ แต่หากพบข้าวเสื่อม ให้นายกฯ ตัดสินเองจะทำอย่างไร
การที่รัฐบาลระบุว่ามีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) นั้น พบพิรุธในการขายข้าวจำนวน ๗.๓๒ ล้านตัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการตั้ง ๒ บริษัทคือบริษัทจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑ บริษัท และบริษัทของคนไทย ๑ บริษัท โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา ซึ่งบริษัทนี้ทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าระหว่างประเทศ ๕ ล้านตัน โดยผู้ที่มีอำนาจของบริษัท คือ นายรัฐนิธ โสติกุล แต่มอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน
จากการตรวจสอบพบว่านายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ ๓๒ ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา รุ่นที่ ๖ รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วย ส.ส.ในลำดับที่ ๓ ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ ยังพบว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเพียง ๖๔.๖๓ บาท ซึ่งเหตุใดเป็นผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวแบบจีทูจี
สำหรับนายนิมล รักดี จากการลงพื้นที่สอบถามจากโรงสีในพื้นที่ภาคกลางพบข้อมูลว่า นายนิมล มีชื่อในวงการว่า “เสี่ยโจ” เป็นคนใกล้ชิด “เสี่ยเปี๋ยง” เป็นเจ้าของบริษัท เพรสซิเด้นท์ฯ ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทสยามอินดิก้าฯ และ “เสี่ยเปี๋ยง” เคยเป็นเจ้าของบริษัทที่ผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
ที่ผ่านมา ป.ป.ช.เคยชี้มูลว่านายนิมล ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในนามบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ สมัยทักษิณ ซึ่งการอ้างว่าขายข้าวแบบจีทูจีก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ จึงอยากถามว่าเหตุใดรัฐบาลปล่อยให้บุคคลที่เคยมีความผิดเรื่องการทุจริต สมัยรัฐบาลทักษิณ กลับมาซื้อข้าวในรัฐบาลชุดนี้อีก และเห็นว่าการขายข้าวจีทูจีไม่ได้ขายส่งออกต่างประเทศ แต่ส่งไปยังโรงสีของบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ ซึ่งเงินที่ต้องจ่ายจากต่างประเทศให้กรมการค้าระหว่างประเทศจำนวน ๔,๙๖๐ ล้านบาทนั้น กลับพบว่าเป็นการจ่ายจากแคชเชียร์เช็คจาก ๔ ธนาคารใหญ่ภายในประเทศ และเป็นการขายแบบตัวบุคคล แทนการขายแบบนิติบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ดังนั้น รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่รัฐบาลอ้างว่ายังเหลือข้าวในสต๊อกอีก ๓ แสนตันที่จะระบายออกยังพบว่าในช่วงวันที่ ๘ ต.ค.- ๙ พ.ย.ก็มีเงินจ่ายจาก ๔ ธนาคารใหญ่ภายในประเทศจำนวน ๖,๔๗๓ ล้านบาท….
เห็นมั้ยครับ ไม่ต้องด่า ไม่ต้องเสียดสี
แต่จับคนเข้าคุกได้ยกคอก
เพราะข้อมูลล้วนๆ ชูใบเสร็จว่อน แทบมองไม่ทัน
เสียดายบางคนหนี
ตอนนี้ก็อยู่เบื้องหลังฝ่ายค้านที่กำลังซักฟอกรัฐบาลประยุทธ์.