เปลว สีเงิน
“แอสตร้า เซนเนก้า”
จะต้องส่งวัคซีนให้ไทยทั้งหมด ๖๑ ล้านโดส ภายในสิ้นปี ๒๕๖๔
“ตามกำหนด” เดือนมิย.ส่ง ๖ ล้านโดส
ตอนนี้ ส่งมาให้แล้ว ๔.๗ ล้านโดส
ก็หมายความว่า ยังอีก ๑.๓ ล้านโดส ที่จะต้องส่งมอบภายในสัปดาห์นี้
ตัวเลขนี้ ทางผู้บริหารบริษัทแอสตร้า เซนเนก้า ยืนยันแล้วเมื่อวาน (๒๘ มิย.) และให้คำมั่นด้วยว่า
“ภายในสิ้นปีนี้” ….
ทั้งหมด ๖๑ ล้านโดส ทะยอยส่งมอบได้ “ตามแผน-ตามตารางเวลา” ครบถ้วนแน่นอน!
นี่ไม่รวมชิโนแวค ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ที่จะทยอยเข้ามาต่อเนื่อง นอกเหนือ “ชิโนฟาร์ม-วัคซีนตัวเลือก” ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
รวมความแล้ว จากกรกฎา.เรื่อยไป อาการวัคซีนมากะปริดกะปรอย มาไม่ต่อเนื่อง จะหมดไป
อาการป่วยจริง ป่วยวิตกจริต จะค่อยคลาย ด้วยมีวัคซีนเป็นที่พึ่ง-เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ รวมแล้วเป็น “ร้อยล้าน” โดส
จาก “อุปทานหมู่” จะกลายพันธุ์เป็น “ภูมิต้านทานหมู่” โดยปริยาย
ตอนเดือนพฤษภา.เห็นว่า ติดต่อจะนำวัคซีน “สปุตนิก” ของรัสเซียเข้ามาด้วย แต่ตอนนี้ เห็นเงียบไป
จริงแค่ไหนไม่รู้นะ ….
เขาบอกว่า รัสเซียพร้อมส่งให้ แต่ทางเราทำเหมือนไม่อยากได้ วางตำแหน่งสปุตนิกเป็น “วัคซีนสำรอง” ทำนองนั้น
ขอเอกสารกำกับ เขาส่งมาให้
ก็บอก “ภาษารัสเซีย” อ่านไม่ออก ให้เขาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ครั้นเขาแปลเป็นภาษาอังกฤษมาให้ ก็บอกให้เขาเอากลับไปแปลเป็นภาษาไทย
นายกฯ ไม่รู้
หรือรู้ …แต่ไม่สนใจจะได้สปุตนิกเอง?
หรือสนใจ แต่ขั้นตอน “ระบบราชการ” มันลี้ลับพิสดารเกินกว่ารัสเซียเข้าใจ ว่าต้องขับเคลื่อนด้วยอะไร จึงจะไหลลื่น?
เอาหละ เมื่อวัคซีนทยอยมา ได้ฉีดกันถึงระดับร้อยละ ๗๐ แล้ว หมายความว่า ปลายปีนี้-ต้นปีหน้า โควิดจะหายไปงั้นหรือ?
ไม่หรอก….
โควิดจะยังอยู่ตลอดไป
แต่จะอยู่แบบ “น้ำกระซิกห้วย” ไหลรินไปเรื่อยๆ หลัง “น้ำป่า” ทะลักพรวดจากยอดเขา พังทลายราบทุกอย่างที่ขวางหน้า จากนั้น เป็น “มวลน้ำก้อนใหญ่” บ่าไหลลงทะเล
“มวลน้ำก้อนใหญ่” หมดไป…..
ก็จะแปรสภาพเป็นน้ำธรรมชาติก้อนเล็ก ซึมเซาะ ห้วย หนอง คลอง บึง ทั่วไป โควิดหลังมีภูมิต้านทานกันแล้ว มันก็จะอยู่กับทุกคนในสภาพนั้น
ซึ่งไม่อันตรายเหมือนตอนแพร่ระบาดใหม่ๆใน ๒-๓ ปีแรก ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีภูมิต้านทาน
แต่เมื่อ “ระบาดเชี่ยวกราก” ผ่านไปแล้ว มีประสบการณ์ มีบทเรียนกันแล้ว ก็ไม่ตื่นตระหนก ไม่ว้าวุ่น ด้วยไม่รู้เหนือ-รู้ใต้ อย่างตอนปี ๖๒-๖๓-๖๔
มนุษย์ค่อยๆ ปรับตัว-ปรับวิถีชีวิตเข้าตาม “ระเบียบโลกใหม่” ซึ่งไม่ใช่ยิวไซออนิสต์อเมริกันจัด หากแต่ไวรัสโควิดจัด
ก็เป็นบ้าง หายบ้าง กินหยูก-กินยา หรือไปหาหมอฉีดยาบ้าง ก็หาย
แต่ถ้าประมาท ไม่รักษา ใช้ชีวิตแบบท้าทาย ก็ตาย ไม่ต่างโรคอื่นๆ เช่น ไข้หวัด ไข้เลือดออก
ผมมองว่า ระบบสาธารณสุขของเรา โดยรัฐบาล จะต้องประเมิน-ประมวลเจ้าโควิด
แล้ว “ส่งสัญญานใหม่” ให้ประชาชนได้รู้ …….
เพื่อ “ปรับตัว” เข้าโหมด “ชีวิต-เศรษฐกิจ-สังคม” ใหม่ ซึ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว นับจากนี้!
ทั้งโลก ไม่เฉพาะไทยเรา….
ถ้ารักจะอยู่ดูโลกให้มันโสภิณ ไม่อยากปรับก็ต้องปรับ เพราะ New World Order “ตัวจริง” ไม่ใช่ CFR
แต่มันคือ Coronaviruses!
ตอนนี้ สายพันธุุ์ 2019 แล้วก็เชื่อได้ ว่ามันจะอยู่กับโลก-กับเราไป เหมือนพันธบัตร รุ่น “นิจนิรันดร” ตลอดไป
รัฐบาล…โดย “ทีมสาธารณสุข” และ “ทีมพัฒนาเศรษฐกิจสังคม” ต้องดีไซน์แล้วหละว่า “วิถีชีวิตไทย” ควรเป็นแบบไหนในมิติโลกใหม่?
รวมถึง การดูแลรักษาคนป่วยโควิด จากนี้ถึงอนาคตด้วย!
จะปล่อยให้เข้าใจว่า เป็นหน้าที่ เป็นภาระรัฐบาล และรัฐบาลต้องรับผิดชอบดูแลรักษาทั้งหมดตลอดกาล รัฐบาลต้องอุ้มนิรันดร์ อย่างขณะนี้ ไม่ได้แล้ว
รัฐบาลต้องเตรียมส่งสัญญานให้ประชาชนเข้าใจ ไม่เช่นนั้น อนาคตอันใกล้ มีปัญหาแน่ ในภาวะที่คนร่วม ๗๐ ล้าน แต่อยู่ในระบบภาษีไม่ถึง ๔ ล้านคน
รวมทั้งการบริหาร “ป่วยโควิด” ปัจจุบัน อย่างที่จัดระบบไว้เป็น สีแดง สีเหลือง สีเขียว
ถ้า “ระบบสาธารณสุข” ไม่วางแผนบริหาร-จัดการเป็น “มาตรการปฏิบัติ” ที่เข้าใจร่วมกันเสียแต่เดี๋ยวนี้
จะเหนื่อยทุกฝ่าย!
เพราะเมื่อป่วย ทุกคนก็จะไปโรงพยาบาล ทุกคนก็จะร้องให้โรงพยาบาลเอารถมารับ
แล้วทางโรงพยาบาล ก็ต้องบอกตามสภาพจริงว่าเต็ม เตียงไม่ว่าง ให้ติดต่อไปที่อื่น
คุณหมอ คุณพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ บางคนเริ่มบ่น เริ่มล้า เริ่มท้อ ถึงขั้นระบายทางสื่อ!
เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะเข้าใจสภาพนั้นได้
มันเป็นปัญหาต้อง “ออกแบบบริหาร” ตรงส่วนนี้ด่วน อ่านข่าวต่างประเทศ อย่างในยุโรป
ช่วงพีค ป่วยวันละเป็นแสน ที่ป่วยระดับสีเขียว เขาบริหารแบบให้นอนอยู่บ้าน
แล้วส่งยา ส่งเครื่องวัดอาการให้ถึงบ้าน ใช้เครื่องมือสื่อสารติดตามอาการ ให้คำแนะนำเป็นระยะ ที่ถึงขั้นสีแดง เขาถึงจะไปรับตัวมาโรงพยาบาล
ภาวะโรคระบาด มันก็ต้องเช่นนี้ จะโทษใคร ด่าใคร จะเอาแต่ใจ มันไม่ใช่ ทั้งไม่เป็นการแก้ปัญหาตรงโจทย์เลย!
ทุกวันนี้ เทคโนโลยีสื่อสาร สูงใกล้ระดับ “โทรจิต” ย่นทุกอย่างที่ไกลให้ใกล้ถึงกัน โดยตัวไม่ต้องไปเอง
ระบบสาธารณสุขในศึกโควิด วันนี้ “บริหาร-จัดการ” โดยใช้ระบบสื่อสารระหว่างโรงพยาบาลกับคนป่วย ชนิด “เข้าถึงเทคโนโลยีไอที” กันขนาดไหน?
โรคระบาด “โควิด” มันเป็นประสบการณ์แรกของโลก การรักษาพยาบาล ผิดพลาด-บกพร่อง เป็นเรื่องธรรมดา
การด่า การจับผิด การเยาะเย้ยถากถาง การโทษกัน-ไล่กัน นอกจากน่าสมเพชแล้ว ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นไม่ได้เลย
มองที่เกิด…
แล้วเก็บประสบการณ์ ถอดเป็น “บทเรียน” โควิดก็จะมีคุณค่ากับเรา
เหมือน “ต้มยำกุ้ง” ปี ๒๕๔๐
ไม่เพราะวิกฤติทางการเงินตอนนั้นหรือ ถึงวันนี้ ในขณะที่หลายประเทศ รวมทั้ง “สหรัฐ-ยุโรป” เกิดวิกฤติทางการเงิน
แต่ “สถาบันการเงินไทย” แข็งแกร่ง “มาตรฐานโลก”
ทุกวันนี้ “เงินบาท” ผงาดเป็นสกุลเงินในตารางแลกเปลี่ยนซื้อขายทั่วไปของโลก
เพราะอะไร เพราะจากประสบการณ์นั้น เป็นบทเรียนให้สถาบันการเงินไทย ปล่อยกู้ร้อยบาท ต้องเก็บสำรองไว้ร้อยบาท เงินบาททุกวันนี้ จึงมีค่า “เท่าทองคำ” ไงล่ะ
ทหาร….
“ร้อยปี” อาจมีสงครามให้เข้าสมรภูมิรบจริงๆ ซักครั้ง
หมอเหมือนกัน….
“ร้อยปี” อาจมีระบาดให้เข้าสมรภูมิ “สงครามโรค” ซักครั้ง
ประเทศมีกองทัพ มีการสาธารณสุข ก็เพื่อสิ่งนี้ เราควรต้องพลิกมุมเป็นประสบการณ์ เพื่อ “ต่อยอดวิทยาการ” โควิดให้ “บทเรียน” ทางการแพทย์-การบริหาร และการต่อยอด “วิจัย-พัฒนา” ทางยา ทางวัคซีน และทางเวชภัณฑ์มากโขอยู่
สู้มันครับ สู้ไปด้วยกัน เมื่อมันจะอยู่กับเรา เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ตำราเขาบอกว่า
เมื่อมันเป็นศัตรูที่ “เราฆ่ามันไม่ตาย” ก็ต้อง “เอามันมาเป็นมิตร” ง่ายๆ อย่างนี้แหละ!
ช่วงนี้ ช่วงตระหนก ก็ต้องค่อยๆ ให้ปรับตัวอยู่กับความเป็นจริงกันต่อไป เห็น “ผู้พยากรณ์โรค” บอกว่า สัปดาห์หน้าจะพีคสุด
วันนี้ ยอดป่วยประจำวัน ๕ พันกว่า สัปดาห์หน้า ถ้าไม่ลด ก็หมายความว่า “หลักหมื่น” ก็ทำใจไว้
จนกว่าเดือนหน้า “กรกฎา” วัคซีนมาระดับ ๑๐ ล้านโดส/เดือน ระดมฉีดกัน รักษาทั้งระดับป่วยไม่ให้ทะยานขึ้น ทั้งระดับว้าวุ่นทางจิตใจให้วัคซีนเป็นที่ยึด
นั่นแหละ ที่ทะยานขึ้น จะหักหัวทะยานลง ก็หวังอย่างนั้น
วันนี้ คุยในด้านที่ “คนไม่อยากฟัง” ไว้แค่นี้แหละ!