เปลว สีเงิน
เกิดมาเป็นนายกฯ ประยุทธ์นี่
น่า “น้อยใจ” เนอะ
งกๆ ทำนั่น-ทำนี่ หัวไม่วาง หางไม่เว้น จนพุงหาย-ตาโหล หนักยิ่งกว่าวัวควายที่ไถนาเลี้ยงคนทั้งประเทศ
แต่ไม่เคยพ้นปฏัก!
เป็นนายกฯมาแค่ ๕+๒ ปี แต่ดูซี….
สามนิ้ว-รุ่นใหม่แกะกล่องกระหย่อมหนึ่ง ก็ไล่
สามานย์-รุ่นเก่ากะโหลกกะลากระจุกหนึ่ง ก็ไล่
มีแต่คนไล่..ไล่..ไล่
หาคนรักนายกฯของผมคนนี้ไม่มีเลย!?
เหตุผลในการไล่ของรุ่นใหม่สามนิ้ว เขาบอกว่า “มีผู้นำโง่จะพาพวกเราไปตายกันหมด”
ก็ไม่เห็นมีใครตาย…
มีแต่รุ่นใหม่หน้าโง่เหมือนควายเท่านั้น ที่เข้าคุก!
ส่วนบ้านเมืองก็พัฒนาสะพรึ่บ-สะพรั่ง ผิดหูผิดตา อะร้าอร่ามด้วยศัลยกรรมยกเครื่องสังคมชาติ
ถนนหนทาง มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า ก็มากันคึ่ก กระทั่งเงินซื้อหมาก-ซื้อพลู สำหรับผู้แก่-แม่เฒ่า ก็มีเป๋าตัง-เป๋าตุง พอถูไถในภาวะสงครามโรค
ถ้าจะมีตายจริงๆ ก็คงเป็นพวกสามนิ้วขาดหญ้านั่นแหละ!
ที่น่าสมเพชเวทนา ก็พวกเก่ากะโหลกกะลา หน้าจำเจพวกนั้น อะไรกันนักกันหนา ดั้นเมฆไล่กันชนิดไม่ลืมหู-ลืมตา
หรือว่ามันเป็นงานประจำ?
เห็นมีระดับอดีตรัฐมนตรีคลังยุคยิ่งลักษณ์ ไปร้องศาลให้เพิกถอนมติครม.ที่ให้ออกพรก.กู้เงิน ๗ แสนล้าน และ ๑ ล้านล้าน
เรื่องพรก.กู้เงินนี่ ฝ่ายค้านสับตามหน้าที่เขา ทั้งนอกสภาและเตรียมสับในสภาอยู่แล้ว
เข้าใจได้ทางการเมือง ที่ฝ่ายค้านเขาต้องค้าน ตรวจสอบเป็นการถ่วงดุลบริหาร
แต่อดีตรัฐมนตรีคลังนายนี้ ความจริงก็เคยอยู่แบงก์ชาติมาก่อน น่าเข้าใจเหตุผลทางบริหารที่รัฐบาลจำต้องออกพรก.
คือ กู้เงินมาใช้ก่อน แล้วค่อยนำพรก.เข้าสภาอนุมัติเป็นพรบ.ทีหลัง
ขืนรอให้ผ่านสภาเป็นพรบ.ก่อน ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่เดือน แล้วบ้านเมือง ว่าด้วยความจำเป็นสืบเนื่องจากปัญหาโควิดขณะนี้
มันรอได้มั้ยล่ะ?
เศรษฐกิจก็ตาย การค้าก็ตาย ชาวบ้านก็ตาย ภาครัฐบาลก็ต้องขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยเงิน
เงินคือน้ำที่ใช้หล่อเลี้ยงท้องเรือ หมายถึงองคาพยพประเทศให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนจากคลองแห้งผากไปให้ได้!
ผมก็ไม่ได้ศึกษาเนื้อหาพรก.นี้ รู้จากข่าวแต่ว่ารัฐบาลจะออกพรก.กู้เงิน ๗ แสนล้าน
ฟัง… ก็เข้าใจ
เหมือนครอบครัวหนึ่ง ตกงานกันทั้งบ้านเป็นปีๆ จะเอาเงินที่ไหนใช้ ก็จำเป็นต้องกู้ยืม ในภาวะเร่งด่วนเฉพาะหน้า
จึงไม่ติดใจอะไร อีกอย่างพฤติกรรมหัวหน้าครอบครัวนี้พอไว้ใจได้ ที่จะโกงเอามาแบ่งกัน ไม่มีแน่
ก็เลยไม่ตั้งแง่ มีแต่ดุนตูด-ดุนหลัง รีบๆ กู้เอาเงินมาใช้เถอะ ทั้งคนหลวง-คนราษฎร์ ตอนนี้ อยู่ได้ก็จาก “เงินรัฐเป็นน้ำเลี้ยง”
แต่อดีตรัฐมนตรีคลังนายนี้ ทำเป็นไม่เข้าใจ กลับไปร้องศาลปกครอง ให้เพิกถอนมติครม.นั้น
หวังดีต่อชาติ จนทุกอย่างมันเปรี้ยวไปหมดถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
รัฐบาลนี้ นายกฯ ชื่อประยุทธ์นะ
ไม่ได้ชื่อทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ ที่โลกประจักษ์พฤติกรรมด้านทุจริต-สุจริต
จำคนผิดหรือเปล่า ถึงได้ระแวงขนาดนั้น?
เก่ากะลาที่ไม่มีอะไรจะทำเป็นสาระชีวิตอีกพวก เข้าตำรา ขึ้นชื่อว่าขี้ สุดท้าย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็จะไหลไปรวมกัน
วันๆ เค้นหาแต่คำมาไล่นายกฯ ไม่ต่างเพลง “ร้อยเนื้อ-หนึ่งทำนอง”
ไล่ทุกวัน แต่โลกไม่ขานรับ แล้วจะทำไง?
เมื่อวาน (๒๔ พค.๖๔) เห็นลอยไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นยุให้เขาถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
มันจะสิ้นคน-สิ้นราคา และสิ้นท่า อะไรขนาดนั้น!
ดูเหตุผลของเขาจากหนังสือที่ยื่นซี……
“เมื่อระบอบประยุทธ์ คือ ภัยคุกคามของระบอบประชาธิปไตย ภัยคุกคามต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน
ภัยคุกคามความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติของประเทศที่จะต้องส่งมอบต่ออนาคตให้คนรุ่นลูกหลานได้ดำรงอยู่
จึงขอให้พรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพื่อเปิดทางเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันหาผู้นำประเทศคนใหม่ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป
ขอพรรคประชาธิปัตย์ก้าวมาอยู่เคียงข้างประชาชน หยุดความชั่วร้ายสามานย์ของระบอบประยุทธ์”
พวกคุณถามชาวบ้านที่มีสติสตังเขายัง….
ว่าประยุทธ์เป็นภัยคุกคาม….
หรือพวกกะโหลกที่ไม่เจียมกะลาหัวอย่างพวกคุณนั่นแหละ คือภัยคุกคามตัวจริง?
“ระบอบทักษิณ” น่ะ พอเข้าใจ ยิ่งอยู่-ยิ่งโกง
แต่ “ระบอบประยุทธ์” ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะสิ่งที่พวกคุณพูด กับสิ่งที่เป็นจริงในรอบ ๗ ปี มันแย้งกันอยู่
ถ้าผลงานประยุทธ์สรุปเรียกว่าระบอบ ก็หมายความว่า
“ระบอบประยุทธ์” ยิ่งอยู่-บ้านเมืองยิ่งเจริญ!
ผมจะยก “ของจริง” ให้สะท้อนคิดอย่างหนึ่ง เอาสิงคโปร์ที่คนไทยชอบยกเมืองเขามาเหยียบเมืองเราบ่อยๆ นี่แหละ
เมื่อแยกจากมาเลเซียไปเป็น “ประเทศสิงคโปร์”
จากปี ๒๕๐๒ จนถึงปีนี้ ๒๕๖๔ เป็นเวลา ๖๒ ปี
สิงคโปร์ เป็นระบอบประชาธิปไตยตามตำรา ๖๒ ปี มีนายกฯแค่ ๓ คน!
เฉลี่ยตามตัวเลข เท่ากับนายกฯ สิงคโปร์ เป็นคนละ ๒๐ ปี ใช้เวลานั้น พัฒนาประเทศให้มีความต่อเนื่องจนเห็นผล!
ทีนี้มาดูตัวเลขจริง
นายลี กวน ยู เป็นนายกฯ ตั้งแต่ ๒๕๐๒-๒๕๓๓ รวม ๓๑ ปี
นายโก๊ะ จ๊กตง เป็นนายกฯต่อ ตั้งแต่ ๒๕๓๓-๒๕๔๗ รวม ๑๔ ปี
และนายลี เซียนลุง จาก ๒๕๔๗ ถึงปัจจุบัน(๒๕๖๔)รวม ๑๗ ปี
ทีนี้มาดูไทยแลนด์เราบ้าง ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พศ.๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน รวม ๘๙ ปี
ประเทศไทยมีนายกฯ ๒๙ คน
เฉลี่ยตามตัวเลข ไทยใช้นายกฯ ๓ ปี ต่อ ๑ คน!
ไทยจึงตกอยู่ในลักษณะ “มากปริมาณรัฐบาล-น้อยผลงานพัฒนา” เพราะขาดความต่อเนื่องทางบริหาร
แต่เมื่อมองแยกรายตัวทางปฏิบัติ กลับเห็นว่า บ้านเมืองยุคที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาเป็นเนื้อหนัง นั้น
จะมาจากรัฐบาลเผด็จการหรือประชาธิปไตยครึ่งใบมากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยแบ่งกันกิน!
ทักษิณเป็นนายกฯ ประชาธิปไตยแบ่งกันกิน ถือว่าเป็นนายกฯ เลือกตั้งที่อยู่นานกว่าคนอื่น
เพราะ “ประชาธิปไตยแบ่งกันกิน” นั่นแหละ จึงเกิดคำว่า “ระบอบทักษิณ”
ก็ย้อนมาดูประยุทธ์ การเป็นนายกฯ ในบัญชีเลือกตั้้ง จะเรียกว่าในระบอบ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ก็อนุโลมได้
เห็นมั้ย ประชาธิปไตยครึ่งใบ กลับอยู่ได้ยาว และยาวนั้น เป็นยาวยังคุณประโยชน์ด้านพัฒนาบ้านเมืองต่อเนื่อง
ผิดกับยาวของทักษิณ นโยบายที่ดีก็มี
แต่เพราะมุ่งใช้ประชาธิปไตยแบ่งกันกินมากไป จึงเป็นวิบากตัดรอนตัวเองให้ไปเป็นสัมภเวสี
นี่แหละที่มา “ระบอบทักษิณ” มันหมายถึงตรงนี้!
ฉะนั้น จะเรียกการอยู่ ๗ ปีของประยุทธ์เป็น “ระบอบประยุทธ์” ก็ไม่เห็นเป็นไร
แล้วรู้มั้ย ประชาธิปไตยสิงคโปร์เป็นแบบไหน ที่โลกรับรู้ตราบทุกวันนี้ คือแบบ “ประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ”
ระบอบนั้น ทำให้แต่ละนายกฯ สิงคโปร์ อยู่ยาวคนละเป็นสิบๆ ปี และเป็น “ยาวด้วยคุณธรรม”
กับ “ลี กวน ยู” สังคมโลกเรียกท่านว่า Benevolent Dictator แปลตามความหมายคือ “เผด็จการคุณธรรม”
การบริหารสิงคโปร์ จะเรียก “ระบอบลีกวนยู” ก็ไม่ผิด
ในนิยามเดียวกัน….
จะเรียกการบริหารสไตล์ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ของนายกฯประยุทธ์ว่า “ระบอบประยุทธ์”
ก็…หยวนน่า!