เปลว สีเงิน
“รวมกันเดิน-แยกกันตี” แผนนี้ยังใช้ได้!
รุ่นเล็ก “ล้มเจ้า”
รุ่นใหญ่ “ล้มประยุทธ์”
บรรจบกันในถนนด้วยภารกิจเดียวกัน “ทวงอำนาจคืนระบอบทักษิณ คืนปลอกคอให้คณะราษฎรสามสัส-สามนิ้ว”
ตู่-จตุพรก็มา เต้น-ณัฐวุฒิก็มา สามนิ้ว-สามสัส ก็มาจานมหา’ลัยก็มา
(ห)มากันครบเลย!
วันนี้ “๓๑ มีนา.” ส่งท้ายไตรมาสแรกของปี ๖๔ ย่างเข้าสู่ศกใหม่ไทย เดือนเมษา.พรุ่งนี้
ดูตามปฏิทินโจร เดือนเมษา.ไม่มีเพียงแห่นางสงกรานต์ ยังจะมีม็อบทั้งหลายแห่กันลงโลกันตนรกด้วย
พูดถึงจตุพร ตัวตนจริงๆ เป็นคนน่ารัก ปลายปีก่อน เคยกินข้าวโต๊ะเดียวกัน แต่ไม่ได้คุยกัน
เห็นประกาศเป็นเจ้าภาพทอดกฐินนายกฯประยุทธ์ วันที่ ๔ เมษา.ด้วยเหตุว่า เป็นเจ้าอาวาสมา ๗ ปี อยากนิมนต์ให้สึก
ถ้าไม่สึกเอง จะ “จับสึก” ประมาณนั้น
ผมก็ไม่ได้รักหรือชังนายกฯ แต่อยากขอบิณฑบาตคุณจตุพรซักครั้ง ด้วยเห็นว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง
การเป็นนายกฯ ก็เป็นเวรกรรมอย่างหนึ่ง
การเป็นแกนนำลงถนน ก็เป็นเวรกรรมอย่างหนึ่ง
การเป็นคนหนังสือพิมพ์ มันก็เป็นเวรกรรมอย่างหนึ่ง
เป็นแล้วจะรู้…..
โคตรเหนื่อย โคตรเซ็ง บนหลัง เต็มไปด้วยร้อยภาระต้องแบก อยากจะวาง แต่มันยากวาง
คุณจตุพร ชีวิตเหมือนถูกกำหนดให้มีลมหายใจกับม็อบ ไม่ใช่แค่ปี ๕๒-๕๓
ยิ่งปี ๓๕ ถ้าคุณจตุพรยอมเผยหมดเปลือก วีรกรรมจะเร้าใจกว่า ๕๓
แต่เมื่อมีโอกาสได้วาง ก็พอจะเบาหลังลงไปบ้างแล้ว
แล้วจะกลับมาแบกอีกทำไมล่ะ?
ผมเข้าใจ ที่พูดนี่ ไม่มีสาระต้องฟัง แต่ผมรักคุณนะ อยากได้คุยด้วยซักครั้ง
วันนั้น คุณจตุพรถ่อมตนมาก เอาแต่นั่งยิ้มในหมู่เพื่อน ไม่ยอมพูดกับทุกคนเกิน ๑ วลี
นายกฯ น่ะ ไม่ต้องไปล้มเขาหรอก…
ตอนทักษิณเป็นนายกฯ ประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จ บารมีแกร่งกล้า-จ้าเจิดกว่านายกฯ ประยุทธ์เป็นไหนๆ
๘ ทิศสาธุการ “ท่านนายกฯทักษิณ ยั่งยืนหมื่นปี”
แล้วเป็นไง….
จาก สิงหา.๔๔ ถึง ๑๙ กันยา.๔๙ แค่ ๕ ปีกว่า ก็หงายท้องตกเก้าอี้ กลายเป็นสัมภเวสี ไม่ได้ผุด-ไม่ได้เกิด ถึงวันนี้
นี่คือสัจจกรรม
ยาม “บุญมา-วาสนาส่ง” บุญวาสนานั้น หาใช่ตัวชี้ขาดการ “อยู่ยั่งยืน” หรือการ “ล้มย่อยยับ”
ตัว “กรรม” คือปัจจุบันกระทำตะหาก เป็น “ตัวเร่ง” และตัวขับเคลื่อนเข็ม สู่การ “ชี้ขาด”!
นายกฯ ประยุทธ์ จะว่าไป ทำลายสถิติอำนาจทักษิณไปแล้ว คือเป็นนายกฯ เข้าปีที่ ๗ นั่นเป็นเรื่องเวรกรรมประกอบปัจุบันกรรมกำหนด
คุณจตุพรไม่ต้องสร้างเวรด้วยการไปชี้ขาดเขา
ตัวสัญญาและตัวทำหรือไม่ทำตามสัญญาของนายกฯ ประยุทธ์นั่นแหละ จะเป็น “ตัวเร่ง-ตัวไล่” สู่การอยู่-การไปของนายกฯประยุทธ์เอง
ผมเห็นว่า ขณะนี้ คุณจตุพรอยู่ในวาระเวรสนองกรรม จึงไม่อยากให้ไป “สร้างกรรม-ต่อเวร” ให้มากขึ้นอีก
จะทำให้ที่จางคลาย เข้มขึ้นอีก โดยไม่จำเป็น!
กรรมนั้น “ล้างได้” ถ้ารู้จักวิธี อย่าหาว่าผมสอน แต่อยากบอกด้วยรัก
ล้างด้วยวิธีนี้ครับ “กรรมเก่าชดใช้-กรรมใหม่อย่าก่อ”
นี่คือการล้างกรรมในแนวผม ทุกวันนี้ ผมก็พยายามล้างอยู่
แต่ “กรรมเก่า” ผมก็เยอะน่าดู
ทุกวันนี้ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว พยายามชดใช้ ซึ่งก็คลาย แต่คราบยังหนา ต้องถูกกักขังในคุกสื่อ สภาพ “หน้าชื่น-อกตรม” ไปวันๆ
พยายามข่มใจ ไม่โครมครามอะไร ที่เป็นการ “เติมกรรมใหม่” เข้าไปอีก
ก็เข้าใจ….
สังคมการบ้าน-การเมือง เป็นเหมือน “ฉากประเทศ” ที่เราทุกคนเป็นตัวแสดงอยู่หน้าฉาก “บทใคร-บทมัน” ในแต่ละวัน
นั่นคือ ทุกชีวิตคือ “การแสดง” อย่างหนึ่ง
อย่างเมื่อวาน (๓๐ มีค.) ผมได้สัมผัสการแสดงบท “น้ำตาทนายความ” จากทนายผู้หนึ่ง ผ่านข่าวท็อป นิวส์ เขาโพสต์ไว้อย่างนี้
‘ทนายความฯ’ เผย…..
ไมค์-รุ้ง ร้องไห้กลางศาล “เพนกวิน” ร่างกายซูบผอม
“นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม” ทนายความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“บันทึกขนาดสั้นจากห้องพิจารณาคดี”
สมยศ พฤกษาเกษมสุข แถลงว่า การไม่ให้ประกันตัวเป็นอุปสรรคในการต่อสู้คดี และไม่เป็นธรรม
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ระหว่างต่อสู้คดี ตนเองก็คงต้องติดคุกไปแบบนี้เรื่อย ๆ
ขอให้ศาลมอบโทษประหารชีวิตให้เพื่อยุติปัญหา เขาพร้อมพลีชีพสังเวยความไม่ยุติธรรม
ไมค์ฯ ร้องไห้น้ำตาไหล เพราะมันคับแค้นจุกแน่นอยู่ในอกถึงความไม่ยุติธรรม ไมค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ชนิดที่แม่ของเขาเองก็ยังแปลกใจ
“มันไม่เป็นธรรมกับเราเลยนะ พี่ไมค์ไม่ได้กลัว จะติดก็ติดไป แต่อยากได้เพียงความยุติธรรม แค่สิทธิในการประกันตัวเรายังไม่ได้ เราจะได้ความยุติธรรมจริงๆ หรอพี่”
พี่รู้ไหม ไมค์ท่องบทกวีแปลของจิตร ภูมิศักดิ์ทุกวัน
“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์ แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
เพนกวินเข้ามาในห้องพิจารณาร่างกายซูบผอมลงไปเยอะ อิดโรยเต็มที ใบหน้าซีดขาว แขนข้างซ้ายของเขามีสายระโยงระยางเต็มไปหมด
ใช่ มันคือสายน้ำเกลือ แขนของเขาถูกเจาะเพื่อใส่น้ำเกลือลงไป เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดจาสื่อสาร เพราะอดอาหารประท้วงทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกันตัวมาแล้วกว่า 14 วัน
รุ้ง ปนัสยา กล่าวแถลงด้วยน้ำตา สรุปความได้ว่า หนูเป็นเพียงแค่นักศึกษา อายุแค่ 22 ปี
หนูฝันถึงสังคมและอนาคตที่ดีกว่า การที่หนูออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหนูผิดอะไร
หนูกับเพื่อนอีกหลายคนไม่ได้ประกันตัว พวกเราถูกบังคับไม่ให้มีโอกาสนั้น หนูกลัวค่ะ หนูกลัวว่าเพื่อนหนูจะเป็นอะไรไป
หนูบอกเพนกวินว่า หนูกลัวมันตาย
แต่เพนกวินตอบว่า ถ้าจะตายก็ให้ตายไป
หนูคิดมาตลอดว่า “เราสู้เพื่ออยู่ ไม่ได้สู้เพื่อตาย แต่ถ้าจะมีใครตาย ก็ขอให้ตายเพื่อคนที่ยังอยู่”
และวันนี้ หากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวอีก จะขอประกาศอดอาหารด้วย โดยจะเริ่มจากการรับประทานวันละมื้อ และลดลงเหลือรับประทานแค่น้ำ นม และสารอาหาร
“ขอให้การตายของเราเป็นสายธารนำความหวังสู่สังคม”
ผมนั่งเงียบฟังเสียงรุ้งแถลง
ก้มหน้าก้มตาไม่ได้หันมองใคร
น้ำตามันไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่
นับเป็นครั้งที่สอง ที่ผมมีน้ำตาในห้องพิจารณา
แด่ทุกๆ คนที่ถูกจองจำกักขัง
ผมรู้ว่าน้ำตาที่ไหลในวันนี้
มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความสยบยอม
แต่เป็นน้ำตาแห่งการต่อสู้เย้ยหยัน
ผมขอให้น้ำตาทุกหยดที่หยดลงบนพื้น
มันกัดกร่อนทำลายความอยุติธรรม
ในประเทศนี้ให้สิ้นซากไป
ผมรู้ว่าพวกคุณเจ็บและเหนื่อยมามาก
ผมเข้าใจ ไม่เรียกร้องสิ่งใด ๆ
เพราะสิ่งที่พวกคุณต้องเผชิญมันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
ผมจะเคารพทุกๆ การตัดสินใจของพวกคุณ
ผมพร้อมที่จะโอบอุ้มทุกสิ่งอย่าง
ผมหวังว่าเราจะได้เจอกัน “ข้างนอก”
เห็นมั้ย…..
ลูกความแสดงละครหลังซี่กรงขังไม่พอ วันนี้ ถึงขั้นทนายต้อง “ล้ำกรอบ” ร่วมแสดงบท “น้ำตาทนาย” เป็นดาราสมทบ
แต่ที่ตีบทแตกถึงระดับ “ตุ๊กตาทอง” ต้องยกให้ “นางสุรีรัตย์ ชิวารักษ์” แม่เพนกวิน
เมื่อศาลไม่อนุญาตให้ประกันลูกชาย เปลี่ยนใหม่ เป็นยื่นคำร้องถึงศาล
“ให้ออกคำสั่งย้ายตัวเพนกวิน” ลูกชาย” ไปกักขังที่โรงพยาบาลพระราม ๙ กรุงเทพมหานคร”!?
ของงแป๊บ…
ถามจริง ขุ่นแม่คิดบทนี้เอง หรือใครยัดบทให้เล่น?
ติดใจล็อบสเตอร์ตัวใหญ่มันเยิ้มป้อนถึงเตียงอย่างคราวที่แล้วละซีท่า?
เออ..แล้วหญิงอ้อเขาเปลี่ยนโรงพยาบาลพระราม ๙ เป็น “สถานกักขัง” ตั้งแต่เมื่อไหร่
มุกนี้ “แม่เพนกวิน” เล่นเจ็บนะเนี่ย!