เปลว สีเงิน
รู้กันแล้วนะ…..
ว่า “บ้านใกล้-เรือนเคียง” ของเราคือ “เมียนมา” เมื่อเช้าวาน (๑ กพ.๖๔)
เกิด “สันดาปทางการเมือง”
โดย “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย” ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเมียนมานำกำลังล้อมจับ “นางออง ซาน ซูจี” ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ “นายวิน มินต์” ประธานาธิบดีเมียนมา
นำตัวไปควบคุมไว้…….
พร้อมคณะรัฐมนตรี และ ส.ส.อีกหลายคน
ขณะจะเข้าร่วมพิธีเปิดประชุมสภานัดแรก หลังจากเลือกตั้งเมื่อ พฤศจิกา.๖๓
ปฏิบัติการกองทัพนี้ พูดตามพฤติกรรม เรียกเป็นอื่นไม่ได้ นอกจาก “กองทัพทำรัฐประหาร” โค่นล้ม-ชิงอำนาจรัฐบาลนางออง ซาน ซู จี
แต่ถ้าดูตามรัฐธรรมนูญ ปี ๒๐๐๘ ของเมียนมา จะเรียกรัฐประหารก็ไม่เชิง เพราะรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้ทำแบบนั้นได้
กองทัพจึงยึดตรงนั้นเป็นเงื่อนไขเลี่ยงคำว่ารัฐประหารโดยออกแถลงการณ์ “ประกาศภาวะฉุกเฉิน” ทางโทรทัศน์ อ้างอิงรัฐธรรมนูญเป็นความชอบธรรม ว่า…….
“การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา ๔๑๗ ของรัฐธรรมนูญเมียนมา ปี ๒๐๐๘
ซึ่งมาตรานี้ กำหนดว่า…..
“หากมีเหตุผลเพียงพอเกี่ยวกับความแตกแยกในสภาหรือสิ่งที่อาจทำให้สูญเสียอธิปไตย เนื่องจากการกระทำหรือความพยายามยึดอำนาจอธิปไตยของสภา ด้วยการจลาจล ความรุนแรง และการกระทำมิชอบ
ประธานาธิบดีสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ โดยประสานกับสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ”
กองทัพเมียนมา จึงยกสาเหตุการเลือกตั้งพฤศจิกา.นั้นเป็นเงื่อนไข ว่า…
“คณะกรรมการการเลือกตั้ง ล้มเหลวในการแก้ไขความผิดปกติครั้งใหญ่ของบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งทั่วไปแบบหลายพรรคการเมือง ที่จัดขึ้นเมื่อ ๖ พย.๖๓
“เนื่องจากสถานการณ์ต้องได้รับการแก้ไขตามกฎหมาย จึงต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน”
และมาตรา ๔๑๘ ยังบอกว่า….
“ประธานาธิบดีสามารถมอบอำนาจในการบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะใช้อำนาจดังกล่าวด้วยตัวเอง หรือมอบอำนาจให้หน่วยงานของกองทัพใช้ ก็ได้
ขณะเดียวกัน อำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภาจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ นับแต่วันที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
หากรัฐสภาหมดอายุระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนรัฐสภา”
ด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญที่กองทัพสมัย “นายพลขิ่น ยุ้น” ยกร่างไว้อยางนี้แหละ
พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย จึงใช้เป็นเงื่อนไข ก่อการ “รัฐประหารในรัฐธรรมนูญ”
จับนางออง ซาน ซู จี, จับประธานาธิบดี
ตั้ง “นายพลมินต์ ฉ่วย” รองประธานาธิบดี “สายทหาร” ในรัฐบาลนางออง ซาน ซู จี ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนชั่วคราว
เมื่อมีประธานาธิบดี…..
ก็เข้าตามเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ อ้างเลือกตั้ง “ผิดปกติมโหฬาร” เป็นสาเหตุ ให้ประธานาธิบดี “ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน”
เมื่อเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ประธานาธิบดีก็สามารถมอบอำนาจบริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ ให้ผบ.สส.คือนายพลมิน อ่อง หล่าย เรียกว่า “ผลัดกันเกาหลัง” ตามรัฐธรรมนูญ
สรุป ตอนนี้….
“นายพลมิน อ่อง หล่าย” คือ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว” ของประเทศเมียนมา แทนรัฐบาล “นางออง ซาน ซูจี”
และเมื่อกองทัพเข้าเส้นทางสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะได้พรวิเศษเพิ่มอีกหลายสิบข้อทันทีตามรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้น จับยามอุบากองพม่า ยามสามตาของไทย ที่คณะรัฐประหารในรัฐธรรมนูญให้สัญญา ๑ ปี จะจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ นั้น
ชาตินี้ หรือ ชาติหน้า…รอไปเหอะ?
นี่เก็บจากข่าวนะ คุยด้วยความเห็นบ้าง ผมว่าปัญหาในเมียนมา มันซับซ้อนและซ่อนเงื่อนหลายเรื่อง นอกจากเรื่อง “ชาติพันธุ์”
เรื่องชาติพันธุ์ ถ้าบริหารแบบ “ความเป็นเอกเทศ” ในความหลากหลายของการอยู่ร่วม มีโอกาสจบ
แต่ถ้าแก้แบบจะให้ความหลากหลายรวมอยู่ใน “อำนาจเดียว” บริหาร ยากจบ
รัฐธรรมนูญเมียนมา สะท้อนปัญหาสังคมบริหารและการปกครองชัดเจน การเลือกตั้ง เป็นแค่ยาระบายเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ยารักษาโรคท้องผูกเรื้อรัง
เมื่อเปลี่ยนยุค จากอำนาจทหารปกครองพม่าไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้งยุคนางออง ซาน ซูจี ดูเผินๆ ว่า ให้ยาถูก
แต่ถ้าดูตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ มันยาที่ต้องใช้กองทัพเป็น “น้ำกระสายยา” ตลอด
รัฐสภา ทั้งสส.-สว.เป็นโควตากองทัพไปแล้ว ๒๕%
กระทรวงสำคัญๆ เกี่ยวกับความมั่นคง เช่น กลาโหม มหาดไทย และกระทรวงกิจการชายแดน เป็นอำนาจทหารแต่งตั้ง
ถึงเลือกตั้ง พรรคนางออง ซาน ซู จี จะชนะถล่มทลาย อย่างล่าสุด เมื่อพย.๖๓ ครองที่นั่งเบ็ดเสร็จทั้งสองสภาก็จริง
ด้วยความเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยดาวเคราะห์ ที่นางออง ซาน จะแก้รัฐธรรมนูญลดทอนอำนาจทหารอย่างที่จ้องมาตลอด
มันจึงยาก ในเมื่อจะมืดหรือสว่าง อยู่ที่ดาวฤกษ์คือกองทัพจะส่องแสงตอนไหน
เห็นมั้ย…
อย่างชนะครองเสียงเบ็ดเสร็จครั้งนี้ นางอองซานขยับตัวจะแก้ปุ๊บ รัฐธรรมนูญที่ออกแบบให้กองทัพทำรัฐประหารได้
ชูตก่อนทันที!
หวังเดียวของรัฐบาลนางอองซานในการสยบทหารคือ “โลกล้อมกองทัพ”
ดังนั้น จะเห็นสังคมประชาธิปไตยตะวันตก และเครือข่ายจักรวรรดิอำนาจตะวันตก “ออกตัวแรง”
อัดกองทัพเมียนมาและ “นายพลมิน อ่อง หล่าย” เต็มพิกัด!
แต่อย่างที่บอก “ที่เห็น-ใช่ว่าที่เป็น”
โลกวันนี้ ไม่ใช่สังคมโลกาภิวัฒน์ “อำนาจเดียวครองโลก” เหมือนในรอบ ๒๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว
มันเป็นโลกยุค “สังคมอำนาจ ๒ ขั้ว” เป็นคานดีดและคานงัด เห็นชัดขณะนี้
พม่า….
ทั้งทรัพยากร ทั้งภูมิศาสตร์ทางยุทธศาสตร์ ทั้งปัญหาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ รวมถึงปัญหากองทัพ กับประชาธิปไตยพลาสติก
มันคือปุ๋ยชั้นดี…
ที่เอื้อผลิตผลและผลิตภัณฑ์ให้ชาตินักล่า
ไม่ว่า จีน สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น กระทั่งตัวแทนนักล่า อย่างสิงคโปร์ อิ่มหมีพีมัน เป็นกอบ-เป็นกำ
ฉะนั้น การงัดข้อกัน ระหว่าง “การเมืองภายใน” จากฝ่ายถือหางกองทัพเมียนมา กับ “สิทธิเสรีภาพ” ฝ่ายประชาธิปไตยหมดอายุ ที่จะได้เห็น ต่อจากนี้
ยิ่งถ้าประชาธิปไตย CIA, NGO จากอเมริกา เข้าไปปลุกปั่นในเมียนมา อย่างที่ทำในรัสเซียตอนนี้
นางออง ซาน ซู จี ชอบหรือไม่ชอบ ผมหยั่งไม่ถึง
แต่กับกองทัพเมียนมาที่คุมอำนาจเบ็ดเสร็จตอนนี้ จะต้องชอบมาก
เพราะนั่น ยิ่งก่อกวนให้ยุ่งเหยิง กองทัพก็จะถือโอกาสอ้างสถานการณ์ฉุกเฉิน “อยู่ยาว” ไปเรื่อยๆ จัดเลือกตั้งไม่ได้ เพราะยังไม่สงบ!
ประเทศ “กลุ่มอาเซียน” เขาถือเป็นหลักปฏิบัติเคร่งครัดอยู่อย่าง จะไม่ยุ่ง-ไม่ก้าวก่าย “การเมืองภายใน” ของกันและกัน
เพราะฉะนั้น จะเห็นผู้นำรัฐบาลแต่ละประเทศ ถือ “อุเบกขา” ไม่วิพากษ์-วิจารณ์ อย่างเก่งก็พูดกลางๆ
เว้นแต่สิงคโปร์ ซึ่งว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาประเภทดาวเคราะห์ ต้อง “พึ่งแสง” สหรัฐฯโดยตรง!
“นักโหน” ประชาธิปไตยทั้งหลาย พูดได้ แสดงออกได้ วิจารณ์ได้ แต่ควรมีธง ว่าแค่ไหน อย่ากระดวน-กระแดะไปเรื่อย
เพราะ พม่า ลาว เขมร มาเลย์ “เพื่อนบ้านชานเรือนติดกัน” เรื่องในมุ้ง “ผัวเมีย” เขา ชำเลืองดูก็พอ อย่าถึงขั้นตลบมุ้งพากษ์เลย
สมัยก่อน พอได้ แต่สมัยนี้ พูดอะไร-ทำอะไร มันออนไลน์ไปทั่ว “มึนตึง” กันขึ้นมา ที่ได้ มันก็จะ ไม่คุ้มเสีย
แก่แล้ว “คิดมาก” เนอะ!