ผักกาดหอม
ยังมีเรื่องสามสัสที่ต้องพูดถึง
ให้ตัวอักษรได้เล่าเรื่องไป
ตามนี้ครับ…..
————–
เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความเอาไว้ดังนี้…..เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ตลาดบึงโขงหลง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยนายภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บึงกาฬ พร้อมผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) บึงกาฬทั้ง ๒๑ เขต ในนามคณะก้าวหน้า ได้เปิดเวทีปราศรัย พร้อมเดินตลาดพบปะหาเสียงกับประชาชน เพื่อรณรงค์การเลือกตั้งในระดับทองถิ่นที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศในวันที่ ๒๐ ธันวาคม นี้
…..นายปิยบุตรปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ตั้งแต่สมัยที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ มีนโยบายสำคัญคือเรื่องการกระจายอำนาจ ทวงคืนอำนาจรัฐที่กระจุกอยู่ที่ศูนย์กลางเมืองหลวง งบประมาณมหาศาลที่ไปกระจุกตัวอยู่ที่ศูนย์กลาง ต้องเอากลับมาไว้ที่ท้องถิ่น
โดยมีความตั้งใจว่าจะส่งผู้สมัครท้องถิ่นลงในทุกระดับในนามของพรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าวันนี้พรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบไปแล้ว แต่เราก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ เริ่มต้นใหม่เป็นคณะก้าวหน้า
ครั้งนี้ ตัดสินใจส่งผู้สมัคร อบจ.ในนามคณะก้าวหน้า ๔๑ จังหวัด และหนึ่งในนั้นคือจังหวัดบึงกาฬ ที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้จังหวัดอื่น และ
…..การส่งนายก อบจ.ลงพื้นที่นี้ เป็นดำริของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าแม้คนทั่วไปมองว่าเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ แต่เราเห็นโอกาสที่จะเข้ามาบริหารและสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ เราเปิดโอกาสให้ประชาชนที่อยากมาทำงานกับเรามาทำงานร่วมกันจนได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงเข้ามานั่นคือคุณภูมิพันธ์ ที่ยังยืนหยัดอยู่กับเราจนมาเป็นคณะก้าวหน้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
…..พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
…..มาตรา ๑๑๑ บัญญัติว่า ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดําเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี
…..การที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช ที่ร่วมกันตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมาโดยมีประธานคณะ มีกรรมการคณะ และมีเลขาธิการคณะ มีภาพเครื่องหมายของคณะเช่นเดียวกับพรรคการเมือง และดำเนินต่างๆ เช่นเดียวกับพรรคการเมือง
เช่น ส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) จำนวน ๔๑ จังหวัดเป็นต้น
…..พฤติการณ์ของนายธนาธร นายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์ กับพวก จึงเป็นการสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง โดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง จึงเข้าข่ายมีความผิดตาม พรบ.พรรคการเมือง มาตรา ๑๑๑
…..ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอาญาแผ่นดินดังนั้นผู้ใดที่พบเห็นการกระทำความผิด ก็มีสิทธิไปกล่าวโทษคนทั้งสามต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวได้
—————
ความโดยสรุปคือ….
ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์ พลาดอีกแล้ว!
อนาคตใหม่ถูกยุบ เลี่ยงมาตั้งคณะก้าวหน้า เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุเอาไว้ชัดเจน…
เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคอนาคตใหม่ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ๑๐ ปี
และห้ามไปจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่
เมื่อทั้งคู่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อ ในฐานะกลุ่มการเมือง จึงเข้าข่ายผิด มาตรา ๑๑๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
เดี๋ยจะหาว่าพูดเองเออเอง ไม่มีหลักฐานอะไรมาแสดงว่า คณะสามสัส ดำเนินกิจกรรมของคณะก้าวหน้าเช่นเดียวกับพรรคการเมือง
ก็ฝากคนที่จะไปแจ้งความเอาผิดช่วยหอบหลักฐานนี้ไปด้วย
เป็นหลักฐานที่ “ธนาธร-ปิยบุตร” สร้างขึ้นกับมือ
ประการแรก สโลแกนคณะก้าวหน้า ระบุเอาไว้ชัด….
“สานต่อภารกิจอนาคตใหม่ : ก้าวไกลอย่างก้าวหน้าสู่อนาคตใหม่ที่พวกเรากำหนดเอง”
ถัดมาคือ แถลงการณ์เปิดตัวคณะก้าวหน้า วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๓
คำแถลงของ ปิยบุตร แสงกนกกุล น่าจะทำให้ศาลวินิจฉัยคดีได้ง่ายขึ้น………
————-
….ทุกท่านครับ ภายหลังการยุบพรรคเกิดขึ้น คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่เพิ่งถูกยุบไปหมาดๆ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนทันทีในวันเดียวกันนั้นเองครับ ว่าพวกเราจะเดินหน้าสานต่อภารกิจของพรรคอนาคตใหม่ ร่วมกับกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้น จะเดินหน้าร่วมกันทำงานในชื่อของคณะอนาคตใหม่
อย่างไรก็ตามครับ กฎหมายของประเทศนี้ก็เป็นใจเสียเหลือเกินที่จะทำลายความทรงจำของพรรคอนาคตใหม่ไปให้ได้ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตราที่ ๙๔ เขียนเอาไว้แบบนี้ครับว่า
ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองซ้ำ หรือพ้องกับพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้วยเหตุนี้ละครับ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้พวกเราต้องมาเผชิญกลเกมทางกฎหมาย จะต้องมาเผชิญกับคดีความจนทำให้พวกเราเสียสมาธิและเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าต่อสู้ในทางการเมืองต่อไป พวกเราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อจากคณะอนาคตใหม่เป็นชื่ออื่น ถึงกระนั้นก็ตามครับ คำว่าอนาคตใหม่ คำว่าพรรคอนาคตใหม่คือตำนานที่ยังมีชีวิต คำว่าพรรคอนาคตใหม่ คำว่าอนาคตใหม่ ยังเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังคงเดินเรื่องอยู่ และคำว่าพรรคอนาคตใหม่ คำว่าอนาคตใหม่ยังคงเป็นจิตวิญญาณที่พร้อมจะเดินทางต่อเนื่องเข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ๆ ต่อไป
ทุกท่านครับ
วันนี้พวกเรา อดีตคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกคน ๗ คนในชื่อของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้น วันนี้พวกเราได้รวมตัวกันจัดตั้ง คณะก้าวหน้า และให้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Progressive Movement การถือกำเนิดขึ้นมาของคณะก้าวหน้านั้นก็เพื่อตอบสนองเป้าหมายอยู่ ๒ ประการใหญ่ๆ ครับ
ประการที่ ๑ การทำให้ความต้องการของผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ยุบพรรค ไม่สำเร็จ และ
ประการที่ ๒ คือการสร้างองค์กรรณรงค์ขับเคลื่อนความคิดแบบก้าวหน้า
ในประการแรกครับ ตลอด ๑๓ ปีที่ผ่านมา หากจะมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า ยุบพรรค ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีวัตถุประสงค์อยู่ ๓ ประการใหญ่ๆ
เขายุบพรรคไปทำไม? เขายุบพรรคเพื่อจะดูดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคนั้นให้ย้ายข้างไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง
เขายุบพรรคไปทำไม? เขาต้องการตัดบทบาทแกนนำ ไม่ให้มีบทบาทในทางการเมืองอีกต่อไป
เขายุบพรรคไปทำไม? เขาต้องการทำลายความคิด อุดมการณ์ของพรรคนั้นๆ ที่ถูกยุบไป
ดังนั้นครับ เพื่อไม่ให้การยุบพรรคสำเร็จในทางความเป็นจริงสมดั่งที่ผู้กำกับต้องการ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งครับที่เราต้องก่อตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมา ในเมื่อพวกเขาอยากตัดบทบาทแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ แต่ต่อไปนี้ครับ เขาจะเห็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เห็นปิยบุตร แสงกนกกุล เห็นพรรณิการ์ วานิช รณรงค์ไปทั่วประเทศ ในเมื่อพวกเขาต้องการตัดบทบาทของแกนนำพรรคอนาคตใหม่
ต่อไปเขาจะเห็น กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ เดินทางไปรณรงค์ในประเด็นการศึกษาทั่วประเทศ ต่อไปเขาจะเห็น ชำนาญ จันทร์เรือง เดินทางไปรณรงค์เรื่องของการกระจายอำนาจทั่วประเทศ ต่อไปเขาจะเห็น พงศกร รอดชมภู เดินทางไปรณรงค์เรื่องของการปฏิรูปกองทัพและการยกเลิกการเกณฑ์ทหารภาคบังคับทั่วประเทศ
เขาจะเห็นรณวิทย์ หล่อเลิศสุนทร เขาจะเห็นเยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์, ไกลก้อง ไวทยการ, สุรชัย ศรีสารคาม, ชัน ภักดีศรี, เจนวิทย์ ไกรสินธุ์, สุนทร บุญยอด และนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ ร่วมกันรณรงค์ต่อเนื่องในชื่อของ คณะก้าวหน้า
เช่นเดียวกันครับ พวกเขาอยากทำลายความคิดแบบอนาคตใหม่ แต่ต่อไปเขาจะเห็นความคิดแบบอนาคตใหม่ซึ่งเป็นจิตวิญญาณถ่ายโอน และเข้าไปไหลเวียนอยู่ในร่างกายที่ชื่อ คณะก้าวหน้า แบบทุกอณู คณะก้าวหน้าจะมีภารกิจในการนำความคิดแบบอนาคตใหม่ไปรณรงค์ต่อเนื่องทั่วประเทศไทย
ในประการที่สองครับ คณะก้าวหน้าตั้งใจจะเป็นองค์กรหรือแพลตฟอร์ม (platform) ที่พวกเราจะใช้ในการรณรงค์ขับเคลื่อนความคิด คณะก้าวหน้ามุ่งมั่นปักธงความคิดก้าวหน้าให้กับสังคมไทย และเดินหน้าสร้างพลเมืองก้าวหน้าให้กับประเทศไทย
ในการนี้ คณะก้าวหน้าจึงมีภารกิจหลักอยู่ ๓ ข้อ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ให้จงได้
๑.สร้างเครือข่ายทั่วประเทศไทย
๒.รณรงค์ทางความคิดทั่วประเทศไทย
๓.รณรงค์ให้กับการเลือกตั้งท้องถิ่นในทุกระดับของประเทศไทย….
———-
สำหรับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” พูดไม่เก่งเท่า “ปิยบุตร” แต่หลักฐานก็ชัดเจนไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
————
……สำหรับผมแล้ว วิกฤตที่พวกเรากำลังเผชิญในวันนี้มีความรุนแรง มีความสาหัสมากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่พวกเราเผชิญมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เสียอีก หนักหนาสาหัสกว่าวิกฤตการเงินโลกที่พวกเราเผชิญมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ – ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เสียอีก
เมื่อสังคมทั้งสังคมต้องเผชิญกับวิกฤตที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราต้องร่วมไม้ร่วมมือกันจากทุกฝักทุกฝ่ายในสังคม ในการพาสังคมไทยออกจากวิกฤตเหล่านี้ให้ได้
ทุกท่านครับ
คณะก้าวหน้าตั้งขึ้นมาภายใต้การเผชิญกับวิกฤตเหล่านี้ เรายืนยันที่จะเดินฟันฝ่าวิกฤตเหล่านี้ไปด้วยอุดมการณ์เดิม เป้าหมายเดิมของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไป…….
———-
ทั้งหมดนี้ปรากฎในเว็บไซด์ https://progressivemovement.in.th ของคณะก้าวหน้า
ครับ…คณะสามสัสใช้เชือกมัดตัวเอง ยากที่จะดิ้นหลุดอีกกรณี
เพราะมันคือคำสารภาพ