อภินิหาร ๗ อาจารย์เพี้ยน

เห็นงานคณะวิจัย “๗ อาจารย์เพี้ยน” แห่ง “สำนักควายสองสี” กันแล้วกระมัง?

หัวข้อตามที่เขาแถลง เมื่อ ๒๔ เมย.มีความนำ ว่า
“ผลการรวบรวมข้อมูลผู้เสียชีวิตและคนที่ “ฆ่าตัวตาย” จากไวรสโควิด-19 และข้อเสนอแนะ โดยคณะนักวิจัย
โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กําลังเปลี่ยนแปลง”

๑. ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

๒.รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

๓.รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

๔. ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

๕. รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ

๖. ผศ.ดร. ธนิต โตอดิเทพย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา

๗. ผศ.ดร.ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ก่อนอื่น……..
ขอถาม “ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ” ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นลำดับแรกเลย ว่า
นี่น่ะหรือ “งานวิจัย”?

และแบบนี้น่ะหรือ “มาตรฐานสกสว.” ในการให้ทุน, ให้งบสนับสนุนการวิจัย?

ถามตรงๆ คำเดียว ให้ทุนแบบแอบจิต “คนกันเอง” หรือเปล่า?

เพราะลักษณะแบบนี้ ตามที่เคยเห็น มันวิถีและวิธีเดิมๆ แบบสมคบคิดในการดำรงชีพของแก๊งเอ็นจีโอ แก๊งวิชาการมารเมืองเขา ไม่ใช่อาจารย์มหา’ลัยสัมมาอาชีวะ

คือตั้งโครงการ……
แล้วเขียนขอทุน-ของบ ทำโน่น-นี่ อ้างเพื่อสังคมบ้าง เพื่อการวิจัยบ้าง บ่อยครั้ง เลอะเลือนทางปลุกระดมสังคมตามใบสั่ง และเพื่อรักษาหม้อข้าวตัวเอง

ที่น่าทุรศ เงินเหล่านั้น ก็เงินหลวง
อาศัยคราบ “เพื่อสังคม” หากินกับเงินหลวงแล้ว แทนจะมีสำนึก แต่พอมีแรง ปัญญาชนก็ปัญญาทราม แว้งกัด-แว้งด่าหลวง คือรัฐบาล (ที่ไม่มีงบเอออวยพวกนี้)

ด่าในเรื่องที่ถูกต้อง วิเคราะห์, วิจารณ์, วิจัย ให้ตรงไป-ตรงมา ตามหลักวิชาการและข้อมูล-ข้อเท็จจริง
ก็โอเค.และสนับสนุน

แต่การใช้เล่ห์วิชาการบิดเบือน ตัดต่อ เสริมแต่ง เรื่องราวให้ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง และปลุกระดม กัดกร่อนรัฐบาลด้วยหวังโค่นล้ม

จะด้วยอคติ ด้วยรับจ้าง ด้วยฝักใฝ่ข้างใด-ข้างหนึ่ง อย่างที่เขาทำกัน

และหลายครั้ง ทรามถึงขั้นบั่นทอน-คลอนคลายความเป็นชาติ-เป็นประเทศ ตามประจักษ์อยู่

แบบนั้น….
นับวัน มันจะ “เลวกว่าเดรัจฉาน” ไปทุกที…..

นี่พูดกันตามลักษณะสังคมทั่วไปในปัจจุบัน ว่าด้วยหลักสัตวศาสตร์และมนุษยศาสตร์

ส่วน ๗ นักวิชาการ ที่ได้ทุนจาก สกสว. วิจัยโครงการนี้ อยู่ในหรือนอกเหนือเกณฑ์ที่กล่าวมานี้หรือไม่ อย่างไร นั้น
ทุกท่าน รวมทั้งท่าน ผอ.สกสว……..
เมื่อได้อ่านผลงาน ๗ อาจารย์ตามแถลงแล้ว สามารถตอบด้วยเหตุ-ด้วยผล อันเป็นตรรกะได้ด้วยตัวเอง

ว่านี่คือ “งานวิจัย” ตามหลักวิชาที่ถูกต้อง
หรือ “งานชอนไช” ด้วยรากเหง้าแห่งความชั่ว ที่เรียกอกุศลมูล ๓ ประการ คือ

โลภะ = ความอิจฉา ความอยากอย่างชั่วช้าลามก

โทสะ = ความโกรธ ความอยากทำลายผู้อื่นล้นอก

โมหะ= ความมัวเมา มานะถือตัว ความหลงไม่รู้จริง

ความจริง อาจารย์เหล่านี้ ในกลุ่มโคแดง-โคส้ม อาจยังมีเครดิต แต่กับทางสังคมทั่วไป ไม่มีค่า-ไม่มีราคาทางความเชื่อถือเท่าไรนัก

จึงเห็น พวกนี้ออกมาแต่ละครั้ง จะอิงแอบคราบสถาบันศึกษา คราบเครดิตปริญญา เป็นหนังคลุมร่าง

ลำพังตัวเองโดดๆ ขอโทษ….
สุนัขบอก นอนเกาขี้เรื้อนมันกว่าเสียเวลาผงกหัวเห่า!

คงอ่านกันแล้ว “ผลงานคณะ ๗ นักวิจัย”
เพราะทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ ช่องอมรินทร์ทีวี ประโคมข่าวตึงตัง

ประเด็น “คนฆ่าตัวตาย” ที่ ๗ อาจารย์ ใช้คำว่า “คณะนักวิจัย” เป็นเครดิต ปะติด-ปะต่อ แล้วประดิษฐ์เป็นประเด็นยกขึ้น “เข่นรัฐบาล” ในแบรนด์ “งานวิจัย” นั้น

ก็อยากให้อ่านอีกซักครั้ง แล้วพิจารณากันซิว่า นี่คืองานวิจัย หรืองานโจรกรรมข่าวหน้าจอกันแน่

ในวงวิชาการ เขาเรียกแบบนี้ว่า Plagiarism ถือเป็นความชั่วร้ายอุกฉกรรจ์?

ลองอ่านกันดูนะ แล้วพิจารณาเอา
ผมจะยกบางช่วง-บางตอนของงานโจรกรรมจากข่าวแล้วใช้ความคิดเห็นตัวเองลากไปสู่เป้าเพื่อใช้ทิ่มตำรัฐบาล โดยทำคลุมเครือให้เป็นงานวิจัย อ่านกันดูนะ

“….ก็ปรากฏข่าวการฆ่าตัวตายของประชาชนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน

และมีข้อมูลที่แสดงอย่างชัดเจนว่าเป็นผลกระทบสืบเนื่องมาจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ที่ได้ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นมา

เนื่องจากมาตรการของรัฐ มุ่งเน้นการจัดการด้านสาธารณสุข

แต่ละเลยการจัดเตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที

โครงการวิจัยฯ มีสมมุติฐานว่า ผลกระทบต่อประชาชนจะเกิดติดตามมาอย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้นภายใน ๑ สัปดาห์

จึงได้ทําการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑ มาจนถึงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ เป็นต้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึง ผลกระทบจากมาตรการของรัฐในการรับมือกับไวรัสโควิด-19

ด้วยการรวบรวมข้อมูลของสื่อมวลชนที่มีการรายงานข่าวการฆ่าตัวตายและมีข้อมูลรายละเอียดที่ยืนยันหรือแสดงให้เห็นว่า
การฆ่าตัวตายนั้น มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับนโยบาย หรือมาตรการของรัฐ
เช่น เว็บไซต์มติชน, ไทยรัฐ, ผู้จัดการ, อมรินทร์, one ช่อง 31 เป็นต้น
…………………………
“อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลับให้ความสําคญเฉพาะการเสียชีวตจากไวรัสโควิด-19 โดยตรง

ดังที่มีการแถลงข่าวรายวัน การประกาศใช้มาตรการอย่างเข้มงวด การทุ่มเททรัพยากรอย่างมหาศาล

แต่แทบไม่ให้ความสําคัญ ต่อผู้ที่ฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากนโยบายหรือมาตรการของรัฐ

การฆ่าตัวตายเป็นโศกนาฎกรรมที่สามารถป้องกันได้ หากรัฐบาลมีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ

การฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นจึงเป็นข้อบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของการจัดการของรัฐอย่างรุนแรง

จนกระทั่งมีคนกลุ่มหนึ่ง ต้องตัดสินใจฆ่าตนเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากความเดือดร้อนที่เผชิญอยู่

หลายกรณี ปรากฏอย่างชัดเจนว่า ความล่าช้าและความไร้ประสิทธิภาพในกรณี เงินเยียวยา ๕,๐๐๐ บาท คือสาเหตุแห่งการฆ่าตัวตาย”

ครับ…..
อ่านแล้วต้องชมว่า เก่งนะ ที่จับแพะผสมพันธุ์กับแกะ ออกลูกมาเป็นควายสองสี!
เอามาตรการป้องกันโรคระบาด ยกอ้างเป็นเหตุคนฆ่าตัวตาย คิดได้ไง ถ้าไม่ถึงระดับ “ควายพระอินทร์” คิดแบบนี้ไม่ได้แน่!?

ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าหลักของงานวิจัย ต้องถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบด้านสถิติ, ข้อมูล, การค้นคว้า-ทดลอง อ้างอิงทางศาสตร์ ทางวิชาการอย่างไรบ้าง

แต่เชื่อแน่ แค่รวบรวมจากข่าวคนฆ่าตัวตายตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามหน้าจอโทรทัศน์

แล้วสรุปว่า “การฆ่าตัวตายนั้น มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับนโยบาย หรือมาตรการของรัฐ”

มันสะท้อนทั้งความบ้องตื้นและตื้นเขิน ไร้มาตรฐานไปถึงสถาบันศึกษาที่แต่ละจานเพี้ยนสังกัด คำว่า ดร., ผศ., รศ., มันโง้งนำหน้ามาก่อนเลย

ทำไม……..
นายกฯประยุทธ์ “เลวสุดขั้ว-ชั่วสุดชาติ” ไม่มีอะไรดีเลย ทุกอย่างที่ทำ “เลวหมด” ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

แล้วนายกฯคนไหนล่ะ ที่ ๗ จานเพี้ยน คิดว่าดี

หรือเห็นคนไหนล่ะ …….
ที่เข้ามาแล้ว จะทำได้ดีกว่า จะมีมาตรการรับมือโควิดได้ล้ำเลิศกว่าที่ “ทีมแพทย์+ทีมรัฐบาล” ปัจจุบันทำ จนหลายๆ ประเทศชม และยกเป็นตัวอย่างอยู่ขณะนี้?

ผมไม่เชื่อหรอก “มาตรการรัฐ” ทำให้คนฆ่าตัวตาย
ถ้า ๗ จานเพี้ยน “อกแตกตาย” ด้วยริษยา
ผมเชื่อ ๑๐๐%!

Written By
More from plew
ดูพม่าจากภาษาข่าวไทย – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เห็นนักข่าวสัมภาษณ์ “นายกฯประยุทธ์” เกี่ยวกับเรื่องในพม่า ทำให้นึกย้อนสมัยผมเป็นนักข่าว ต้องบอกว่า “ขนลุก” และยอมแพ้ ชนิดศิโรราบครับ
Read More
0 replies on “อภินิหาร ๗ อาจารย์เพี้ยน”