การทูต “มือคนละชั้น” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

เขมรท่องแต่คำว่า “ไทยรุกราน”

แต่เมื่อวาน เป็นวันประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในเรื่องสันติภาพแท้ๆ ที่มาเลย์

ไทยไม่เคยรุกรานใครก่อน

แต่เขมรกลับระดมยิงเข้ามาที่บ้านคลองแผง ตาพระยาสระแก้ว “ส.อ.กัมปนาท ทองแสง” สังกัด กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์

ต้อง “พลีชีพ” เพื่อปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน เป็นรายที่ ๒๒!

แล้วแบบนี้ มันจะ “สันติภาพ” กันได้อย่างไร?

“นายเติ้ง ซีจวิน” เอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน และ “นายจาง เจี้ยนเว่ย” เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย

ที่เข้าพบ “นายกฯอนุทิน” ที่ทำเนียบเมื่อวาน เพื่อหารือเรื่องไทย-เขมร ด้วยไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในภูมิภาคนี้

แต่เมื่อทราบเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ

ว่า “เขมรเปิดก่อน” อีกแล้ว จนทหารไทยเสียชีวิตเช่นนี้!

ก็นึกเห็นใจท่านทั้งสองในฐานะทูตสันติภาพ

เพราะเหตุที่เกิด คงทำให้ท่านลำบากใจ ที่จะเอ่ยปากให้ไทยสงบศึกกับเขมร!

เพราะมันชัดคาตา…..

ว่าฝ่ายที่ถูกรุกรานคือไทย

ฉะนั้น ถ้าจะให้เกิดสันติภาพ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องมาขอร้องไทย เพียงแต่จีนรวมทั้งสหรัฐฯ ไปบอกให้เขมร “หยุดรุกราน” ไทย

และทำตาม ๔ ข้อใน “ปฎิญญาสันติภาพ” ที่ตกลงกันแล้วให้ปรากฏเท่านั้น

ทุกอย่างจบ!

ไทยนั้นรักสงบ  ไม่ชอบรบ ถนัดแต่รัก จนบ้านเมืองคึกคักไปด้วย LBGTQ เขารู้กันทั้งโลก ไม่เคยรุกรานใคร

แต่ถ้าใครมารุกรานไทย แล้วมึงจะรู้ว่า “นรกมีจริง”!

ทุกคนอยากรู้ ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน นัดพิเศษ ที่มาเลย์ฯ ว่าด้วยเรื่องไทย-เขมร ได้ผลเป็นยังไง?

ขั้นแรก บอกก่อนเพื่อความเข้าที่ตรงกัน

ประชุมเมื่อวาน (๒๒ ธ.ค.) ไม่ใช่การจับให้ “ไทยกับเขมร” เจรจาสงบศึก แล้วรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ก็ล้อมวงดู หรือคอยเป็นลูกคู่ฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง

เขาเพียงอยากให้ท่านสีหศักดิ์ รมว.ต่างประเทศไทย และนายปรัก สุคน รมว.ต่างประเทศเขมร เอาความจริงที่เกิดขึ้นมาบอกให้ที่ประชุมได้รู้ ตามเป็นจริง

แลกเปลี่ยนมุมมองกันและหาทางออกจากความขัดแย้งร่วมกัน รวมทั้งข้อเสนอเป็น “ทางออก” สู่การหยุดยิง ถ้ามี

สำหรับไทยชัดเจน เขมรทำตาม ๔ ข้อ ทุกอย่าง…จบ

-ลดอาวุธ

-ลดกำลังทหาร

-เก็บกู้ทุ่นระเบิด

-ปราบอาชญากรรมข้ามแดนและแก๊งสแกมเมอร์ รวมถึงการจัดการปัญหาการรุกล้ำพื้นที่

ส่วน “จะจบ-ไม่จบ” ก็อยู่ที่เขมรจอมสับปลับนั่นแหละ!

นี่ก็เห็น “ฮุนเซน” ส่งสัญญาณ โดยประกาศ “ยุทธศาสตร์สงครามระยะยาวกับไทย”!?

ขอให้จริง ถ้าไม่จริง “ลูกหมา ๕๐๐ ชาติ”นะ!!!

มาดูท่านสีหศักดิ์แถลงหลังเสร็จประชุมดีกว่า ว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง

ประเด็นหลักๆ ท่านพูดว่า….

นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา

ไทยพยายามแก้ไขปัญหาผ่าน “กรอบทวิภาคี” มาโดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชา

กลับพยายามนำประเด็นเข้าสู่ “กรอบสหประชาชาติ” แทนการเจรจาระหว่างสองประเทศ

รวมถึงการเผยแพร่เทปเสียงจากการหารือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความไว้วางใจ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหา

“การลงนามข้อตกลงหยุดยิงที่เมืองปุตราจายา เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม และข้อตกลงสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ ๒๖ ตุลาคมที่ผ่านมา

สะท้อนความตั้งใจจริงของไทยในการเดินหน้าสู่สันติภาพ ยืนยันว่า “ข้อตกลงร่วมกับกัมพูชาเป็นเส้นทางสู่สันติภาพ”

แต่ “ฝ่ายกัมพูชา”….

จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน

ทั้งการลดอาวุธ, ลดกำลังทหาร, การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ

การปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดนและแก๊งสแกมเมอร์

รวมถึงการจัดการปัญหา “การรุกล้ำพื้นที่”

ซึ่งทั้ง ๔ ประเด็นนี้ ถือเป็นสาระสำคัญ!

โดยเฉพาะประเด็นเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นเรื่องที่ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

หลังเกิดเหตุ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดมาแล้ว ๖ ครั้ง และหลังการลงนามข้อตกลง ยังเกิดเหตุซ้ำเป็นครั้งที่ ๗!

ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนไทย “ต้องการคำอธิบาย” ที่ชัดเจน

แต่จนถึงขณะนี้….
ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่เป็นรูปธรรมจากฝ่ายกัมพูชา

ท่านสีหศักดิ์ ส่ง “ยิ้มเพชฌฆาต” ไปทั่วๆ แล้วกล่าวต่อว่า

“การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ไทยไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวโทษฝ่ายใด แต่ต้องการให้เกิดกระบวนการ “หยุดยิง” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการประกาศฝ่ายเดียว”

พร้อมตั้ง “ข้อสังเกต” ว่า…..

“แม้กัมพูชาจะพูดถึงการหยุดยิงในเวทีต่างๆ แต่กลับไม่เคยหารือกับไทยโดยตรง ทำให้การเดินหน้าสู่สันติภาพเป็นไปได้ยาก”

ทั้งนี้ …..

“ไทยเสนอให้มีการหารือระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย โดยใช้กรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)”

ปรากฎว่า ฝ่ายเขมร “ยอมรับข้อเสนอ” นี้!

และตกลงให้มีการประชุม GBC ในวันที่ ๒๔ ธันวาคมนี้ เพื่อหารือขั้นตอนต่างๆ ในการนำไปสู่การหยุดยิงอย่างเป็นรูปธรรม”

ที่ท่านสีหศักดิ์ย้ำ คือ

“จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ”

ต้องรอผลการหารือระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ในวันที่ ๒๔ ธันวา. ที่จันทบุรี

สาระสำคัญที่ท่านสีหศักดิ์แถลงที่น่าสนใจ คือ

๑.ขณะนี้ ยังยิงกันไปตามฐานานุรูป

๒.ไทยพร้อมหยุดยิง แต่เขมรต้องทำตาม ๔ ข้อนั้นให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ก่อน

๓.ไทยเน้นกรอบ “ทวิภาคี” คือข้อพิพาทไทย/เขมรนี้ จะตกลงกันเอง คนอื่นห้ามยุ่ง

ปรากฏว่า เขมรยอมเงื่อนไขโดยไม่มีข้อแม้ (แต่เบี้ยวทุกครั้ง)

ฉะนั้น รอดูวันพุธ ที่ ๒๔ ธันวา. ที่พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมไทย กับ พลเอกเตีย เซรยฮา รมว.กลาโหมเขมร เขาจะคุยกัน ส่วนจะมีผลออกมาแบบไหน ก็ต้องตามไปดู?

กรอบที่ฝ่ายไทยมอบให้พลเอกณัฐพลไปตกลงหรือไม่ตกลง ชัดเจนอยู่แล้ว สำคัญที่พลเอกเตีย เซรยฮานั่นแหละว่า ฮุนเซนจะประทับทรงว่าอย่างไร?

ตรงนี้ ผมไม่ติดใจ เพราะรู้อยู่แล้ว รับปากกับไม่รับปากของเขมร “ค่าเท่ากัน”

ที่ผมอยากเน้นเป็นการทำความเข้าใจ คือเรื่อง MOU 43 ที่อยากให้เลิกกันนั่นน่ะ

มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้ารู้จักใช้

ท่านสังเกตเห็นมั้ย ที่ประเทศอื่นๆ ฉวยโอกาสสอดแทรกเข้ามาในเรื่องนี้ไม่ได้โดยตรง และเขมรจะลากเรื่องไป UN ก็ไม่ได้ ไปศาลโลกก็ไม่ได้

ก็เพราะ MOU 43 ที่เป็นข้อตกระหว่างไทย-เขมร เป็น “ทวิภาคี” ระหว่างไทย-เขมรเท่านั้น จะตกลงกัน มือที่สาม…ไม่เกี่ยว

ดังนั้น จึงเห็นในคำแถลงท่านสีหศักดิ์ ซึ่งท่านเน้นว่า….

“ไทยพยายามแก้ไขปัญหาผ่าน “กรอบทวิภาคี ”มาโดยตลอด แต่กัมพูชากลับพยายามนำประเด็นเข้าสู่ “กรอบสหประชาชาติ” แทนการเจรจาระหว่างสองประเทศ”

MOU 43 ตรงประเด็น “ทวิภาคี” นี่แหละ ทำให้ทั้งสหรัฐ ทั้งจีน หรือประเทศไหนๆ เพียงและเล็มส่งความปรารถนาดีอยู่แค่วงนอก

จะเข้ามาล้วงลูก-บีบไข่ในวงใน…ผิดกติกา!

เพราะ MOU 43 เป็นข้อตกลง “ทวิภาคี” สำหรับจัดการปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับเขมรเท่านั้น

ถ้าไม่มี MOU 43 ก็เท่ากับไม่มีกรอบ-ไม่มีเงื่อนไขให้ยึดในการเจรจา ป่านนี้ เขมรเชื้อชาติ-สัญชาติ “ลิ้น ๒ แฉก” มันลากเรื่องไปศาลโลก ไปยูเอ็น

ทั้งเอาประเทศเกี่ยวเบ็ดไปล่อให้จีน/ให้สหรัฐ เข้ามาล้วงลูก-บีบไข่เราหน้าเขียวเป็นพระอินทร์ไปนานแล้ว!

MOU 43 ในเมื่อ “ในเลว-มีดี” เราจะรีบยกเลิกไปทำไปล่ะ ใช้จุดแข็งของคำว่า“กรอบทวิภาคี”เป็นยันต์กันหมาหิว-หมาโหยเข้ามากินรวบไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ?

การนั่งโต๊ะเจรจา“สงบศึก-หยุดยิง”น่ะ วันนี้-พรุ่งนี้ ก็ได้

เพราะการนั่งโต๊ะเจรจา ก็เหมือนคนเล่นเผ เล่นโปกเกอร์ แพ้-ชนะ ขึ้นอยู่กับ “เงินในกระเป๋า” ว่าใครมีมาก-น้อยกว่ากัน?

นี่เหมือนกัน ก่อนจะนั่งโต๊ะเจรจาสงบศึก

เราก็ต้องดูหน้าตักของเราว่า “ตีเอาแผ่นดินไทยจากที่เขมรรุกล้ำเอากลับคืนมาได้ครบแล้วหรือยัง?”

ถ้าครบแล้ว การเจรจา ก็จะเป็นลักษณะ “ข้าจะเสนอในสิ่งที่เจ้าไม่สามารถปฎิเสธ”

จะจับมือหรือจะให้จับปืนต่อ….เลือกเอา!

กับเขมร ห้ามใจอ่อน เพราะมันเป็นสายพันธุ์ “ไม่รู้คุณคน” ก็ดูซิ บ้านแตก-สาแหรกขาด ซมซานหนีตายมา แล้วเป็นไง?

ทั้ง “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว-ตาพระยา” เราให้อาศัย แล้วมันกลับยึดเป็น “แผ่นดินเขมร” หน้าด้านๆ

ไทยต้องรีบ “สร้างกำแพง” กั้นเขตแดน “ไทย-เขมร” ในจุดที่เบ็ดเสร็จแล้ว โดยเร็วที่สุด

คำว่า “เชื้อชั่วไม่เคยตาย” เป็นแบบไหน เขมรก็เป็นแบบนั้นต้องล้อมคอกให้มั่นคง เพราะวันใด-วันหนึ่งในกาลข้างหน้า

“สัตว์เนรคุณ” สายพันธุ์นี้ มันต้องกลับมาราวีไทยอีกแน่!

สรุป….

ศึกเขมร ดูเหมือนจะจบ แต่ยังไม่จบ มันจะตอแยยืดเยื้อเป็นมารขวางความสุขคนไทยไปถึงกลางปีหน้า

ยิ่งฮุนเซนประกาศ “ยุทธศาสตร์สงครามระยะยาว” กับไทย

หมายความว่า ช่วงนี้ ฮุนเซนยังอยู่

แต่ช่วงกลางปีหน้า ต้องเชิญ “อดิศร เพียงเกษ” ไปร้องเพลง “ออกุนสมเด็จเตโชฮุนเซน” ส่งท้ายซะละกระมัง?!

เปลว สีเงิน

       ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
“๑ กระหาย ๑ หน่าย” ในวังวน – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ..⬇️ เปลว สีเงิน วันนี้ เป็น “วันสุกดิบ” พิธา ต้องทำขวัญนาคซะหน่อย ศรี…ศรี…สวัสดี มีชัยนะ พ่อนาคเอยยยย… พรุ่งนี้แล้วซินะ...
Read More
0 replies on “การทูต “มือคนละชั้น” #เปลวสีเงิน”