เปลว สีเงิน
ทศกัณฐ์นั้น …..
กว่าจะถูกศรพระรามตาย ก็ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั้ง อินทร์ พรหม ยม ยักษ์และ วานร
นี่เหมือนกัน
เมื่อการเมือง “ตระกูลชิน” ใกล้ถึงกาลอวสาน และตัวทศกัณฐ์เองก็ไม่น่ารอดจาก “ศรตุลาการ” ในวันที่ ๙ กันยา.
ทั้งประเมินท่าที “พรรคประชาชน” แล้ว
น่าจะเทใจให้นายอนุทิน-พรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯ ตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” มากกว่าจะยอมเป็น “ไอ้ละอ่อน” ซ้ำสองของทักษิณ
ด้วยการโหวตให้ “นายชัยเกษม นิติสิริ” จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯ!
ดังนั้น ในทันทีที่ “พรรคประชาชน” แถลงมติพรรคเมื่อวาน (๓ ก.ย.๖๘) ว่า ๑๔๓ เสียงของพรรค
ตกลงโหวตให้ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ คนที่ ๓๒ เท่านั้นแหละ
พรรคเพื่อไทยบรรเลงบทเพลง “เมื่อกูไม่ได้ ใครก็อย่าหวังว่าจะได้” ทันที
ซึ่งก็สร้างความปั่นป่วน-สับสนไปทั่วทั้งตลาดการบ้านและการเมือง เมื่อ “นายภูมิธรรม-นายกฯ รักษาการ” เพื่อไทย ประกาศว่า
“ผมในฐานะปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและรวบรวมความคิดเห็นต่างๆมาชัดเจนแล้ว
คิดว่า ควรจะต้องมีการกราบบังคมทูลถวายสถานการณ์ต่างๆให้พระองค์ทราบ และคิดว่าจะได้แก้ไขปัญหานี้
จึงตัดสินใจที่จะยื่นทูลเกล้าฯร่างพระราชกฤษฎีกา “ยุบสภา” ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
ซึ่งก็ต้องรอตามกระบวนการประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ พรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องไปพิจารณา”
ก็หมายความว่า นายภูมิธรรมยื่นไปก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ ๒ กันยา.หลังจากประเมินแล้วว่า “พรรคประชาชนไม่เอาเราแน่”
เมื่อเขาไม่เอาเรา เราก็ “คว่ำชามข้าว” ทิ้งไป ใครก็ไม่ต้องได้กิน นี่จะเรียกว่า “ธาตุแท้” หรือ “สันดาน” ของเพื่อไทย ก็ไม่ต่างกัน
หลังจาก “พรรคประชาชน” ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ แล้ว “นายไชยชนก ชิดชอบ” เลขาฯ พรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย สส.ของพรรค
ไปยื่นหนังสือถึง “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภาขอให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญ โดยด่วน
มันก็เป็นไปตามครรลอง….
ไม่มีเหตุผลใดที่ประธานรัฐสภา จะไม่นำเรื่องนี้เข้าบรรจุในระเบียบวาระการประชุม ซึ่งก็มีกำหนดเป็นตารางล่วงหน้าไว้แล้วว่า การโหวตเลือกนายกฯ จะมีขึ้น ระหว่าง ๓-๕ กันยา.นี้
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อกูไม่ได้ กูก็จะขวางมึง!
เมื่อนายกฯ รักษาการบอกว่า ได้นำร่างพระราชกฤษฎีกา “ยุบสภาผู้แทนราษฎร” ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว
อีกทั้ง ๒๐ สส.พรรคเพื่อไทยเขาตั้งแง่ ทำนองว่า วันที่ ๒๙ สิงหา.ที่มีคำวินิจฉัย น.ส.แพทองธารนั้น
“นายปัญญา อุดชาชน” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท่านพ้นวาระแล้ว
และมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “นายสราวุธ ทรงวิไล” เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนแล้ว
แต่ทำไมไม่ให้นายสราวุธทำหน้าที่วินิจฉัย กลับให้นายปัญญาทำหน้าที่
แล้วโมเมสรุป เป็นคำร้องส่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้วินิจฉัยถึงความชอบ-ไม่ชอบ ถึงขั้นว่าคำวินิจฉัยวันที่ ๒๙ สิงหา.นั้น โมฆะหรือไม่?
ทั้ง ๒ เรื่องนี้ ก็เลยเป็นเงื่อนไข ที่ประธานรัฐสภายังนำเรื่องโหวตเลือกนายกฯ เข้าบรรจุระเบียบวาระไม่ได้
อ้างว่า ต้อรอความชัดเจน ทั้งเรื่อง “ยุบสภา” และเรื่องวาระคาบเกี่ยวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
การยุบสภานั้น เป็นพระราชอำนาจโดยตรงที่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยให้ยุบหรือไม่ให้ยุบ
นายกรัฐมนตรี เป็นเพียงผู้นำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้น
แต่ปัญหามีอยู่ว่า ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีถูกศาลฯ ให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว จึงมีเพียง “ผู้รักษาการนายกฯ”
การที่นายภูมิธรรม ซึ่งไม่ใช่นายกฯ เป็นเพียง “ผู้รักษาการ” แต่กลับนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ นั้น
ถูกต้อง เหมาะสม และมีอำนาจทำเช่นนั้นได้หรือไม่?
เป็นการยื่นด้วยหวังแอบอิงพระราชอำนาจ เจตนาขัดขวางการประชุมคัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่?
อีกทั้ง “นายปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา “ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล” ก็ให้ความเห็นไว้แล้วว่า
“รักษาการนายกรัฐมนตรี” ไม่มีอำนาจยื่นยุบสภา ได้!
ทั้งชี้ว่า การดำเนินการครั้งนี้….
อาจเป็นการ “ละเมิดพระราชอำนาจ” และก่อให้เกิดความ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท”
ประเด็นนายภูมิธรรมนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ จึงมีผู้ไม่เห็นด้วย และว่าไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง
และเมื่อดูรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๖๘(๑)บอกว่า ……
“ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง(คณะรัฐมนตรี-เปลว)ตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) (๓) ให้อยู่ปฎิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗(๑)เพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๖๐(๔)(๕)นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฎิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้”
ที่เถียงกันว่า “นายกรักษาการ” ยุบสภาได้หรือไม่ได้นั้น เมื่อดูตามมาตรา ๑๖๘(๑) ก็ชัดเจนว่า
เมื่อแพทองธารพ้นจากตำแน่งนายกฯ ไป ตามมาตรา ๑๖๐ (๕) จะอยู่ปฎิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
คณะรัฐมนตรีก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย…..
แต่ “ให้อยู่ฎิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”
ตรงนี้ ความหมายก็ตรงตัว… “ให้อยู่ฎิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”
เขาให้อยู่ปฎิบัติหน้าที่จนกว่า “คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่” จะเข้ารับหน้าที่ เท่านั้น
เขาไม่ได้ให้ผู้อยู่ปฎิบัติหน้าที่แทนไปสั่งยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ เข้าใจมั้ย?!
นายภูมิธรรม ก็แค่ “ผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกฯ” ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง ฉะนั้น มีสิทธิ์อะไร ที่นำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนฯขึ้นทูลเกล้าฯ?
ทำเกินหน้าที่ปุยมุ้ย ระวังจะเจอมาตรา ๑๕๗ นะ เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือน!
เนี่ย….แล้วตอนบ่ายแก่ๆ เมื่อวาน สื่อทุกสำนักก็ออกข่าวเดียวกันว่า
…………………………………
วันนี้ (๓ ก.ย.) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า วันนี้ (๓ ก.ย.)สำนักองคมนตรี ในฐานะหน่วยงานกลั่นกรองหนังสือและถวายความเห็นประกอบกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และทรงลงพระปรมาภิไธย
ส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกากลับมาให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยมีหนังสือนำส่งกลับคืนมา
ระบุว่า …………….
การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภผู้แทนราษฎร ไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา
เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำความเห็นประกอบว่า
“รัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้” จึงไม่สามารถกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำรายงานให้ นายภูมิธรรม ในฐานะผู้กราบบังคมทูล ทราบแล้ว โดยนำเสนอหนังสือของสำนักองคมนตรี ไปให้ทราบด้วย
………………………………………
ไงล่ะทีนี้ หน้าจู๋เป็นหัวหมูไหว้เจ้าไปเลยมั้ยล่ะ ท่านนายกฯรักษาการ!?
ส่วนเรื่อง ๒๐ สส.เพื่อไทยไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญประเด็นคาบเกี่ยวการดำรงตำแหน่งของตุลาการนั้น เหลวไหล ไร้สาระ
ศาลฯ วินิจฉัยคดีแพทองธารสนทนาอังเคิลฮุน ๒๙ สิงหา.
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ทรงแต่งตั้ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
แล้วโมฆะตรงไหน…หือ
“แพ้แล้วพาล” เกือบเข้าขั้น “อันธพาล” แล้วนะเนี่ย!
หลังจากประธานและรองประธานสภายึกยักกันมาทั้งวัน สุดท้าย ตอน ๓ ทุ่ม
เว็บไซต์ “สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร” ก็ได้เผยแพร่วาระการประชุมสภาฯในวันที่ ๕ ก.ย.
มีวาระเรื่องด่วนที่ ๘ พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย!
เฮ้อ….อนุทิน ชาญวีรกูล จะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๓๒ ทั้งที ต้องฝ่าด่าน “มารผจญ” ทุกขั้นตอน
แต่ขอบอกไว้เลย…..
ยังไงๆ ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ทั้งสถานการณ์บ้านเมือง ทั้งการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของนายอนุทิน
ต้องฝ่า “กับระเบิด” ไปจนถึงตุลา.โน่นแหละ!
เปลว สีเงิน
๔ กันยายน ๒๕๖๘
