27 สิงหาคม 2568 ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยข้อเท็จจริงกรณีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–กัมพูชา ปี 2543 และ 2544 ปัญหาที่สำคัญคือเรื่องเอกสารและแผนที่ที่ใช้กำหนดเขตแดน โดยเฉพาะการนำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียวมาใช้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเส้นสันปันน้ำตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907 และไทยไม่มีโอกาสตรวจสอบก่อน ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา ขณะที่แผนที่ 1:50,000 ของไทยซึ่งถูกต้องกว่า กลับไม่ได้บรรจุใน MOU ส่งผลให้กัมพูชาสามารถอ้างสิทธิ์พื้นที่ได้โดยง่าย
ดร.มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า MOU 2544 ยังสร้างความเสียหายรุนแรงกว่า MOU 2543 เพราะกัมพูชาขีดเส้นเขตทางทะเลเอง ข้ามพื้นที่เกาะกูดเข้าสู่น่านน้ำไทย ซึ่งผิดกฎหมายสากล ไม่มีประเทศใดยอมรับ การขีดเส้นเช่นนี้ยังขัดกับพระบรมราชโองการในรัชกาลที่ 9 แล้ว ที่อดีตนายกฯ มาบอกว่า คุยไม่ได้ก็แบ่งคนละครึ่ง อย่างนี้ประชาชนไม่สบายใจแน่นอน เพราะโอกาสเราเสี่ยงสูญเสียมันเยอะ ยืนยันแหลักการแบ่งเขตทางทะเลตามแผนที่สยาม–ฝรั่งเศสปี 1927 ที่ผลไปค้นพบแต่กลับไม่ได้ถูกนำมาใช้อ้างอิง ทำให้ไทยเสี่ยงเสียสิทธิ์ในพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะและทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มูลค่ากว่า 20 ล้านล้านบาท
รองเลขาธิการฯ ย้ำว่า MOU ทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญปี 2540, 2550 และ 2560 จึงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น การดำเนินการโดยไม่มีความเห็นชอบจากรัฐสภา ทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะกัมพูชาถือสิทธิ์ตาม MOU เดิมไม่ยอมเจรจาใหม่
“ทางออกที่ถูกต้องคือไทยต้องยกเลิก MOU 43–44 อย่างเป็นทางการ และแจ้งให้กัมพูชาทราบว่าจำเป็นต้องร่าง MOU ฉบับใหม่ ภายใต้กระบวนการรัฐสภาและหลักกฎหมายสากล เพื่อให้การแบ่งเขตแดนและการใช้ทรัพยากรเป็นธรรม โปร่งใส และคุ้มครองผลประโยชน์สูงสุดของชาติ” ดร.มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว