เปลว สีเงิน
“ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” นี่ เข้าตามโฉลกดาวเสาร์เปี๊ยบเลย!
“ต้องโชคร้าย-กายลำบาก, คนดูชา-หมาดูถูก” ซะก่อน
แล้ว “มหาสิทธิโชค” ที่ใครๆ ต้องอิจฉา ถึงจะตามมา!
วานซืน (๑๙ พ.ค.๖๘) ท่านไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ “นวัคคหายุสมธัมม์” มงคลเฉลิมพระเกียรติ
ถวายพระพรชัยมงคล แด่…..
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และเพื่อสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติและประชาชน ณ พระอุโบสถ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร”
ในโอกาส “ดาวพระเสาร์” ย้ายตามหลักโหราศาสตร์
มีการออกข่าวว่า ลุงป้อม “บาดเจ็บชายโครง” ต้องนำตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
แต่ไม่พบอาการบาดเจ็บรุนแรง แพทย์ให้กลับบ้านได้
และเมื่อวาน (๒๑ พ.ค.)
“พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” โฆษกพรรคพลังประชารัฐ บอกนักข่าว “พล.อ.ประวิตร” ฝากมาแจ้งว่า
“ท่านลื่นล้มจริง แต่ไม่เป็นอะไร ไม่ได้ถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างที่เป็นข่าว กลับจากวัดก็มาพักผ่อนตามปกติ
เช้ารุ่งขึ้น จึงค่อยไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย ผลออกมาปกติดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
พล.ต.ท.ปิยะ ยังบอกด้วยว่า พลเอกประวิตรย้ำ
“ผมเป็นทหารเก่า ยังแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมฝากขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงด้วย”
ผมเห็นข่าวทีแรกก็นึกเป็นห่วง เพราะคนอายุมากหกล้มนี่ “โคตรอันตราย” เลย ท่านยิ่งตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยอยู่ด้วย
แต่เมื่อทราบว่า ประสบอุบัติเหตุระหว่างไปประกอบกุศลกรรมถวาย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ตลอดถึงชาติบ้านเมืองและประชาชน ในวาระดาวเสาร์ย้าย
ผมก็เลย “หายห่วง”!
แถม “แอบดีใจ” ซะด้วยซ้ำ ที่ลุงป้อมพบอุบัติเหตุ ที่บันไดหน้าพระอุโบสถ หลังเสร็จพิธี
เพราะนั่นแสดงว่า กุศลกรรมที่ลุงป้อมประกอบครั้งนี้มี “อานิสงส์” ทันตาเห็น โดย “พระเสาร์” ท่านส่งสัญญาณว่า “รับรู้”
จึง “ส่งเคราะห์-มาสะเดาะกรรม” ให้ลุงป้อมในทันที-ทันใด!
จงดีใจเถอะ…ลุงป้อม
ดาวเสาร์ “ให้โทษทุกข์” แค่ให้ลุงป้อมหกล้มในเขตพุทธาวาส ซึ่งมีทั้งพระ ทั้งเทพเทวา “คุ้มรักษา” เท่ากับท่าน “สะเดาะเคราะห์” ในทางร้ายให้ จบสิ้นแล้ว
ต่อแต่นี้ ลุงป้อมก็จะมีแต่ “โชคดี-สิ่งดี-คนดี” เข้ามาในวงจรชีวิตรอบใหม่ ด้วยโลกทัศน์ใหม่ ตราบที่ใจยังบันดาลแรง (แต่อย่าใจง่ายเหมือนทิดแย้มล่ะ)!
ลุงป้อมบอก ท่านเป็นทหารเก่า ยังแข็งแรง ก็นึกได้ว่า ท่านเป็นพี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์”
“พยัคฆ์” แปลว่า เสือ
“ดาวเสาร์” ก็เสือเหมือนกัน ตามตำนานบอกว่า เกิดจากกระดูกเสือ ๑๐ ตัวป่น ดาวเสาร์ จึงมีกำลัง ๑๐!
ฉะนั้น เลข ๑๐ เป็นเลข “ศุภโชค” ต่อชะตา ลุงป้อมควรถวายสังฆทานพระ ๑๐ รูป ทำบุญตามโรงพยาบาล เพื่อผู้ป่วยยากไร้และพระสงฆ์อาพาธ สัก ๑๐ แห่ง
สงเคราะห์อาหาร-สิ่งของแก่เด็กตามโรงเรียนต่างจังหวัด ซัก ๑๐ โรงเรียน เวียนไปทั่วๆ ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก
จะเสริมโฉลกยิ่งขึ้น ในวาระดาวตรีเทพ “เสาร์-พฤหัส-ราหู” เปลี่ยนโลก!
ถ้าลุงป้อมเดินทางไปถวาย-ไปมอบด้วยตัวเองจนถึงที่จะยิ่งดีใหญ่ เพราะดาวเสาร์……..
กว่าจะได้อะไรซักอย่าง มันต้องให้เหนื่อย ให้ลำบากบักโกรกโชคถึงจะใหญ่!
มีคนสงสัยว่า “นวัคคหายุสมธัมม์” ที่ลุงป้อมไปเป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาสนั้น คืออะไรและ อ่านว่าอย่างไร?
จำนวนคนสงสัยนั้น มีผมรวมอยู่ด้วย ยอมรับว่า “ไม่เคยผ่านหู-ผ่านตา” มาก่อน
เปิดเว็บนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ดู เป็นความรู้ใหม่แกะกล่องสำหรับผมเลยทีเดียว
ขออนุญาตนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” นำเผยแพร่ตรงนี้
…………………………………
นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม”
พระพุทธมนต์ “นวัคหายุสมธัมม์” เฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคล “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และพระบรมวงศานุวงศ์
พระพุทธมนต์ “นวัคหายุสมธัมม์” สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ปฐมเจ้าอาวาส “วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม” ทรงริเริ่มธรรมเนียมการสวด “นวัคหายุสมธัมม์” อันเป็นพิธีเจริญพระพุทธมนต์ที่เริ่มในสมัย “รัชกาลที่ ๕”
นวัคหายุสมธัมม์ (อ่าน นะ-วัก-คะ-หา-ยุ-สะ-มะ-ทำ) แปลว่า “ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกำหนดด้วยองค์เก้า” หรือ “ธรรมเป็นเครื่องเสมออายุด้วยนพเคราะห์”
เนื่องจากใน พ.ศ. ๒๔๑๒ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์”
จะทรงบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษาครบ ๕๐ พรรษา ทรงต้องการให้ทำพิธีแบบใหม่แทนที่เคยทำกันมา
จึงตรัสปรึกษากับ “สมเด็จพระสังฆราช” (สา ปุสฺสเทโว) แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระสาสนโสภณ”
ดังนั้น จึงจัดแบบพิธี “สวดนพเคราะห์” ถวายใหม่ เรียกว่า “นวัคหายุสมธัมม์”
คือให้พระสงฆ์ ๕ รูป สวดพระธรรมต่างๆ ที่มีข้อธรรมเท่าจำนวนเกณฑ์กำลัง “ดาวนพเคราะห์” เฉพาะองค์ คือสวดดังนี้
อนุตตริยปาฐะ (อนุตตริยะ ๖) สำหรับพระอาทิตย์
จรณปาฐะ (จรณะ ๑๕) สำหรับพระจันทร์
มัคควิภังคปาฐะ (มรรค ๘) สำหรับพระอังคาร
อินทริยะ พละ โพชฌังคปาฐะ (อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗) สำหรับพระพุธ
ทะสะพะละญาณะปาฐะ (ทสพลญาณ ๑๐) สำหรับพระเสาร์
ทะสะสัญญา นะวะอนุปุพพะวิหาระปาฐะ (สัญญา ๑๐ อนุปุพพวิหาร ๙) สำหรับพระพฤหัสบดี
สติปัฏฐาน สัมมัปปะธานะ อิทธิปาทะปาฐะ (สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปะธานะ ๔ อิทธิบาท ๔) สำหรับพระราหู
สัปปุริสะธัมมะ อริยะธะนะ สัมมาสมาธิปริกขาระปาฐะ (สัปปุริสธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ สัมมาสมาธิบริขาร ๗) สำหรับพระศุกร์
อาฆาตะปฏิวินะยะปาฐะ (อาฆาตวัตถุ ๙) สำหรับพระเกตุ
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ทรงพระนิพนธ์บทขัดตำนาน สำหรับพระธรรมบทนั้นๆ ด้วย
แบบสวด “นวัคหายุสมธัมม์” ที่จัดขึ้นใหม่นี้ โปรดให้โหรบูชาเชิญ “เทวดานพเคราะห์” มาฟังสวดพระพุทธมนต์ทีละองค์
และพระสงฆ์ ๕ รูปสวดพระธรรมสำหรับเทวดาองค์นั้น สวดสลับไปกันกับโหรบูชา
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ “นวัคหายุสมธัมม์” ได้กระทำครั้งแรกที่วัง “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์”
ครั้นถึงปีขาล พ.ศ.๒๔๒๑ เมื่อ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๒๕ พรรษา
มีพระราชปรารภจะทรงทำพิธี “เฉลิมพระชนมพรรษา” ให้พิเศษกว่าที่ทำมาแต่ก่อน
“สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์” จึงกราบบังคมทูล ให้ทรงทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ “นวัคหายุสมธัมม์”
และได้ทำในงานหลวงตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา
ต่อมา ผู้อื่นก็ทำตามเมื่อทำบุญฉลองอายุที่เข้าเขตสำคัญ เช่น ครบ ๖๐ ปี เป็นต้น
พิธีดังกล่าว จึงได้แพร่หลายและเป็นบทสวดพระปริตรอย่างหนึ่งที่นิยมสวดกันในเมืองไทย
…………………………………………..
“รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม” นะครับ ประเทศไทยเรา จงรู้ไว้เถอะว่า เพราะ “พระพุทธศาสนา” สถิต
นอกจาก “พุทธานุภาพ-ธรรมานุภาพ-สังฆานุภาพ” เป็นมงคลจักรวาลคุ้มครองแล้ว
ยังมี “ปวงเทพไท้เทวา” เสด็จมาเป็นกำแพงแก้วห้อมล้อมอีกชั้น
ดังนั้น ตราบใดที่เสียงพระพุทธมนต์ไม่สิ้นไปจากแผ่นดินไทย ตราบนั้น ไม่มีใครทำไรประเทศไทยได้
ถ้าจะมี ก็มีพวกเดียว คือพวกประชาธิปไตย “นักโกงเมือง”
แม้ทำให้ประเทศล่มจมไม่ได้ก็จริง
แต่ทำให้คนไทย “รวยไม่ทน แต่จนตลอดชาติ” ได้จริง!
เปลว สีเงิน
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘
