ผลงาน “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน 

ขอไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ ของ……

”สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส” ประมุขคริสตจักรคาทอลิกด้วยพระชนมายุ ๘๘ พรรษา

เมื่อวาน (๒๑ เม.ย.๖๘) “พระคาร์ดินัลเควิน ฟาร์เรลล์ คาเมอร์เลงโก” แห่งหอพระสันตะสำนัก

ได้ประกาศการ “สิ้นพระชนม์” ของ “สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส” จากคาซา ซานตามาร์ตา ผ่านแถลงการณ์ ดังนี้

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศด้วยความเศร้าอย่างยิ่งว่า

“สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส” ของเราได้สิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อเวลา ๐๗.๓๕ น.ของเช้าวันนี้ (ตรงกับ ๑๒.๓๕ น. เวลาประเทศไทย)

“พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ฟรานซิส” ได้กลับคืนสู่บ้านของพระบิดา ชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์ อุทิศให้กับการรับใช้พระเจ้า และพระศาสนจักร

พระองค์ทรงสอนให้เราดำเนินชีวิตตามคุณค่าของพระวรสารด้วยความซื่อสัตย์ กล้าหาญ และความรักสากล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อผู้ยากไร้และผู้ถูกทอดทิ้ง

ด้วยความซาบซึ้งอย่างล้นพ้นต่อแบบอย่างของพระองค์ ในฐานะศิษย์แท้ขององค์พระเยซูเจ้า

เราขอฝากวิญญาณของ “สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส” ไว้ในความรักอันเปี่ยมด้วยเมตตาของพระเจ้าผู้เป็นเอกะและตรีเอกานุภาพ

ข้อความในแถลงการณ์ยังมีอีกว่า……….

การสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวัน หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างความสุขให้แก่ฝูงชนที่มาร่วมพิธีที่วาติกันในวันอีสเตอร์

ด้วยการปรากฏพระองค์บนระเบียงของ “มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์” แม้ว่าพระองค์จะยังทรงพักฟื้นอยู่หลังจากทรงประชวรหนัก

ทั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เกือบสิ้นพระชนม์ถึงสองครั้ง เมื่อต้นปีนี้ ขณะที่ทรงประชวรด้วยโรคปอดบวม

พระองค์ต้องประทับรักษาที่โรงพยาบาลนาน ๓๘ วัน ก่อนพระอาการดีขึ้นจนสามารถเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ ๒๓ มีนาคม

เมื่อวันอาทิตย์ พระองค์ทรงอวยพร “สุขสันต์วันอีสเตอร์” ให้ฝูงชนที่ “จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์”

พร้อมโบกพระหัตถ์และทรงอวยพรตามธรรมเนียมว่า “Urbi et Orbi (แด่โรมและโลก)” ให้แก่เสรีภาพทางความคิดและความอดกลั้น

……………………………………..

ครับ….

ปีนี้ เป็นปีแห่งการสูญเสียที่มาพร้อมกับธรรมชาติเปลี่ยนโลกและโลกเปลี่ยนมนุษยชาติ จาก “สิ่งหนึ่ง” ไปสู่ “อีกสิ่งหนึ่ง” อย่างที่เรียกกันว่า

“โลกเปลี่ยนยุค-ยุคเปลี่ยนคน”!

ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจและปรับวิถีชีวิตอย่างที่เรียกว่า “หมุนตามโลก แต่อย่าหลงโลก”

มนุษยชาติมีคำสอนตามศาสนาต่างๆ เป็นสรณะในครรลองชีวิตของแต่ละคน

ในความต่างทางพิธีกรรม-พิธีการแต่ละศาสนา สิ่งหนึ่งที่ “ไม่ต่างกันเลย” ในคำสอน คือ

ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์อยู่ร่วมกันสันติ มีสามัคคี มีศีล-มีธรรม มีความรัก-ความเมตตา เอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย-รังแกซึ่งกันและกัน

ขออาศัยคำ “ท่านพุทธทาส” ใช้สรุปซึ่งครอบคลุมความหมายได้ทั้งหมด คือ

“ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ”!

เพราะคำว่า “มนุษย์” หมายถึง “ผู้มีใจฝึกแล้วจึงประเสริฐ”

แต่ยุคนี้ เป็น “ยุคโลกาภิวัฒน์” แทบไม่รู้จักการฝึกใจกันแล้ว หันไปฝึกกายเป็นทาสเทคโนโลยีไอที ซึ่งเราก็เห็นและเป็นกันอยู่

ทั้งโลก ทุกสังคมมนุษย์ …………..

ถูกไอทีเปลี่ยน “มนุษย์คุณธรรม” ไปเป็น “มนุษย์วัตถุ” ไปแทบหมด!?

สังคมยุคนี้ จึงเป็นสังคม “ตัวกู-ของกู” ไม่มีความยับยังชั้งใจ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อสนองอยาก แยกดี-แยกเลว, แยกผิด-แยกถูกไม่ได้

กระทั่ง “กตัญญู-รู้คุณ” ในพ่อ-แม่ ในบรรพบุรุษ ในครูอาจารย์ ก็หายาก เพราะถูก “สังคมวัตถุ” ในรูปเงิน-ไอที กระชากจิตวิญญานมนุษย์คุณธรรมไปแล้ว

ใจมนุษย์เสื่อมไปจากศีลธรรม โลกถึงวิปริตนี่ไง!

เพราะเมื่อ “สัตว์มนุษย์” สู่สภาพใกล้เคียง “สัตว์เดรัจฉาน”

ธรรมชาติจึง “เปลี่ยนโลก-โลกเปลี่ยนยุค” ดังประสบกันอยู่ขณะนี้

แล้วเราทั้งหลาย “เตรียมตัว-เตรียมใจ” กันหรือยัง?

มนุษย์ที่จะจมหายไปพร้อมยุคที่กำลังถูกเปลี่ยน คือพวกคนไร้ศีล-ไร้ธรรม,แยกดี-แยกเลว ไม่ได้ นั่นแหละ

เคยบอกไปแล้ว ว่าจากนี้ไป เป็นรอบ “กรรมเช็กบิล” ใครทำกรรมอย่างใดไว้ ทั้งส่วนดีและส่วนเลว เตรียมรับผลนั้นได้

ย้อนกลับมาดู “สภาพสังคม” การบ้านการเมืองของเราในปัจจุบันวันนี้บ้าง

แต่ละยูนิตสังคมทั้ง “ระบบรัฐ-ระบบราษฎร์” ระหว่าง “มนุษย์คุณธรรม” กับ “มนุษย์วัตถุ” อย่างไหนจะมากกว่ากัน?

ถ้าตอบไม่ถูก ผมมีปรอทให้วัด…

ขอใช้คำป๋าเปรม “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” อดีตประธานองคมนตรีผู้ล่วงลับ เป็นปรอทใช้วัดก็แล้วกัน ท่านเคยพูดไว้ว่า

“เราต้องกล้าหาญพอที่จะไม่ยกมือไหว้คนโกง….คนโกงชาติบ้านเมือง ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร เป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงสนิทสนมกัน

แต่ถ้าเค้าได้ร่ำรวยมาเพราะ เค้าโกง โกงคุณ โกงผม โกงดิฉัน ผมคิดว่า “เราไม่จำเป็นที่จะต้องยกมือไหว้เค้าหรอก”

ประเทศของเราได้รับความอับอายนี่ ผมคิดว่า เราปล่อยปละละเลยไม่ได้

หน้าที่ของเราที่อาสามาช่วยชาติบ้านเมือง จะต้องแก้ไขความอับอายของชาติของเราให้ได้

ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันทำเรื่องนี้ ผมคิดว่า “เราไม่ได้รักชาติ”

เราไม่ได้ตอบบุญคุณแผ่นดิน เราทำให้ชาติได้รับความอับอาย”

ดูท่าปรอททาง “มนุษย์วัตถุ” จะขึ้นปรู๊ด ตั้งแต่ในทำเนียบ ในสภา ในระบบราชการ ในระบบกฎหมาย ในระบบนักวิชาการ ในระบบสังคมคนตาบอด ในระบบสื่อ

ยกมือไหว้ “คนโกงชาติบ้านเมือง” กันแทบทั้งนั้น!?

แล้วบ้านเมืองใต้อำนาจ “คนโกงชาติบ้านเมือง” ควบคุม จะไปรอดหรือ?

๒ ปีที่รัฐบาลเพื่อไทยบริหาร ไม่มีเนื้อ-มีหนังในทางบริหารให้เห็นว่าสังคมชาติจะเจิดจ้าสู่อนาคตได้

นโยบายที่รัฐบาลขะมักเขม้นทำในรอบ ๒ ปี เห็นมีอยู่ ๔-๕เรื่อง

๑.กู้เงินนับแสนๆ ล้านไปแจกชาวบ้าน “พร้อมหนี้”

๒.แปลงประเทศให้เป็น “บ่อนกาสิโน” และ “พนันออนไลน์”

๓.ผลักดันกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ซึ่งจ่อคาวาระในสภาแล้ว

๔.แก้เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แล้วตั้งสสร.เขียนใหม่เป็นฉบับเอื้อโกง และ

๕.ผลักดัน MOU 44 ที่รัฐบาลทักษิณทำไว้กับกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป

ซึ่งกัมพูชาขีดเส้นย้วยเข้ามาใต้เกาะกูดของไทย อันเป็นแหล่งพลังงานมหาศาล แล้วทึกทักอ้างสิทธิว่าทับซ้อน

รัฐบาลเพื่อไทยก็เอออวยตามกัมพูชา ……

พูดชัดๆ “ทักษิณ-ฮุนเซน” ซึ่งเบ็ดเสร็จกันมานาน ให้ขุดขึ้นมาแบ่งผลประโยชน์กันก่อน โดยยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นพื้นที่ของใคร ทั้งที่ “เกาะกูด” เป็นของไทยโต้งๆ!

อ้อ…อีกผลงาน เกือบลืม ๕,๐๐๐ ล้าน อุ๊งอิ๊งเอาไปเรียบร้อยแต่แรกแล้ว เอาไปทำ “ซอฟต์ พาวเวอร์” อย่างที่เห็นแฟชั่นชุด “ผ้าขะม้า” เป็นข้าวต้มมัดใต้ แต่งโชว์รายวันนั่นและ

นอกนั้น เป็นงานรูทีน

“เช้าชาม-เย็นชาม” ในขณะที่เศรษฐกิจทรุด-สังคมทราม-คอร์รัปชันบานฉ่ำ รัฐบาลถูกชี้นำโดยนักโทษ “โกงบ้าน-กินเมือง”

นี่…พรุ่งนี้ ๒๓-๒๔ เม.ย. นายกฯ แพทองธาร ก็จะไปกัมพูชา นัยว่าเป็นแขกรัฐบาล

พบทั้งนายกฯ ฮุนมาเน็ต และ พบทั้ง “สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน” พ่อนายกฯ

ก็อย่าลืมทูลสมเด็จ เดโช ฮุนเซน ด้วยละกันว่า เมืองไทยมีข่าว “กลุ่มทุนการเมือง” ใช้นอมินี กว้านซื้อหุ้น “บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น” (BCP) จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อันดับ ๑ ในสัดส่วน ๒๐% สำเร็จแล้ว

เขาพูดกันอื้ออึงว่า…..

เป็นไปตามแผน “กลุ่มทุนการเมือง” ที่จะใช้ BCP นี้ เป็นฐานลงทุนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ที่จะ “ขุดขึ้นมา” แบ่งผลประโยชน์กันก่อน ตรงนี้แหละ!

ประเทศไทยนี้ ดีหนักหนา

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในอ่าวมีน้ำมัน ในบ้านเมืองมีคอร์รัปชัน ในรัฐบาลมีโจรบัญชาการประเทศ

แล้วประเทศที่ “ข้าราชการ” ยกมือไหว้คนโกง จะรอดมั้ย?

ประเทศน่ะ “รอด”

แต่พวก “คนรัฐ” ที่บูชา “คนโกง” ไม่น่ารอด ผมเพ่ง “ลูกแก้ว” แล้วจะออกไปทางแนวนั้น

อย่าเชื่อผม แต่จงเชื่อ “กฎกรรม” ที่เริ่มทำงานแล้วเถอะ!

เปลว สีเงิน

๒๒ เมษายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ

 

 

Written By
More from plew
“ไอ้กันวางไข่” มหา’ลัย -เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน วันนี้ “ไม่คุยโควิด” ถ้าจะคุยในประเด็นว่า มันจะจบกันเมื่อไหร่ ก็คงต้องคุยยาวต่อเนื่องไปถึงชาติหน้า ก็ยังไม่จบ เพราะมันจะไม่หายไปไหน มันจะอยู่กับมนุษยโลกตลอดไป อยู่แบบเชื้อเอดส์ เชื้อไข้หวัดนก...
Read More
0 replies on “ผลงาน “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” #เปลวสีเงิน”