เปลว สีเงิน
“นายพิชัย นริพทะพันธุ์”
ออกมา “ตลกหน้าจอ” ช่องเนชั่น รายการ “คุณวราวิทย์ ฉิมมณี” เมื่อวาน ต้องบอกว่า…..
“เรื่องคล่อกจนลิงตกต้นกล้วยละก็ ไม่มีใครสู้
ทั้งเรื่องทำเหมือนเด็กขยำขี้บนเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ ก็ไม่มีใครสู้เขาเหมือนกัน”!
ตอนไม่ได้เป็นรัฐมนตรีละก็ แหม…ปากแจ๋วเป็นกรรไกรห้องทำคลอด ฉับ..ฉับ รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง แก้ได้-ทำได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะกับปัญหาเศรษฐกิจ…เป็นเลิศ หยามเหยียด-เยาะเย้ย “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์” ฉอดๆ เช่น
“อยากให้บิ๊กตู่ตั้งหลักให้ดี ถ้ารู้ตัวว่าบริหารเศรษฐกิจไม่เป็น ก็อย่าฝืน ควรเร่งลาออกไป ให้คนที่มีความสามารถมาบริหารเศรษฐกิจ ประชาชนจะได้มีความหวัง” บ้าง
“พลเอกประยุทธ์ยิ่งอยู่นาน การค้า-การลงทุนยิ่งแย่ เศรษฐกิจไทยฟื้นได้ยาก” บ้าง
“ประยุทธ์ยิ่งอยู่ ยิ่งถ่วงความเจริญ” บ้าง
แล้วก็ประแป้ง “ใส่หน้า-ละเลงหัว” ตัวเอง อวดหล่อว่า…
“รัฐบาล (ประยุทธ์) บริหารเศรษฐกิจล้มเหลวขั้นวิกฤติ
หากประชาชนให้ความมั่นใจ พรรคเพื่อไทย สามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน”!
แล้วเป็นไง…ท่านนกตะกรุม
“รัฐบาลเพื่อไทย นอกจากผลาญ กู้มาแจก รวยกระจุกกลุ่มทุน จนกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน แล้วรัฐมนตรีพาณิชย์ขายอะไรได้บ้าง นอกจากอัญมณีอาชีพเดิม?”
หมายถึงเอาสินค้าไทยไปกระจายขายสู่ตลาดโลกได้เพิ่มมากกว่าเดิมนั่นน่ะ ได้ขนาดไหน มีอะไรบ้าง?
นอกจากผลาญเงินเดินสายไปจับมือคล่อกที่โน่น-ที่นี่แล้วถ่ายรูปมาโชว์เป็นผลงาน ที่มีแต่คำว่า “กำลังคุย..กำลังเจรจา…เขาสนใจ”
แล้วมีประเทศไหนเซ็นสัญญาซื้อสินค้าไทย โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตร-พืชไร่ เป็นเนื้อ-เป็นหนัง บ้างล่ะ?
ก็ไม่มี…
มีแต่พ่อค้า “ภาคเอกชน” เขาหาตลาด-หาลูกค้า ส่งสินค้าไปขายกันเอง แล้วรัฐบาลไม่ต่างแมงดาเกาะหลัง เก็บตัวเลขส่งออกมาคุยเป็นผลงาน
ถ้ามี วันนี้ “ตลาดหุ้น” ดัชนี จาก ๑๖๐๐ จุด ไม่ไหลรูดจนใกล้จะแตะ ๑๐๐๐ จุด อย่างทุกวันนี้หรอก
“ตลาดหุ้น” เป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในรัฐบาลอย่างหนึ่ง แล้วที่ตกจนต่ำเตี้ยเรี่ยดินกว่าทุกตลาดในภูมิภาค
มันสะท้อนถึงอะไร….
ถ้าไม่ใช่ความ “เฮงซวย-ห่วยแตก” ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ “ดีแต่โม้” ดอกหรือ?
ขายอะไรกู้เศรษฐกิจไม่ได้ ก็เลยจะ “ขายประเทศ” ด้วยการเปิดกาสิโน ทำพนันออนไลน์ ขายเหล้า-ขายยา ไม่เว้นวันพระ-วันโกน อย่างที่กำลังทำ!
ต่อไปก็ค้ามนุษย์ “เปิดซ่องเสรี” เอาให้มันสุดๆ ไปเลย
อย่าหลับตาพูดอย่างรมช.คลัง “ผีจับยัด” คนนั้นนะ ที่พูดเท่เรื่องตลาดหุ้นที่เป็นตลาดเหวว่า
“คนที่ฉลาดจะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและจะมองสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดจะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้”
เท่น่ะ…เท่ แต่เท่แบบทุยใส่สูท ผมเป็นคนไม่ฉลาด ยอมรับว่ามองไม่เห็นโอกาส เห็นแต่ซากศพทั้งเซียน-ทั้งแมงเม่าที่ฝังอยู่ในตลาดเหว
ส่วนคนฉลาดที่เห็นโอกาส ก็ยอมรับว่ามี
เห็นหลังไหวๆ ปั่นขึ้น-ปั่นลง สร้างราคาหุ้นของกลุ่มทุนไม่กี่ตัว เรียกว่าลงกูก็รวย-ขึ้นกูก็รวย
ชาวนายกขบวนมาทำเนียบ ร้องว่าข้าวที่เคยขายได้ตันละเป็นหมื่น ตอนนี้ขายได้ ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาท เรียกว่า “ทำนาขาดทุน”
ชาวไร่มันสำปะหลังก็มาร้อง เคยขายได้ตันละกว่า ๓,๐๐๐ บาท วันนี้ขายได้ ๑,๒๐๐!
การค้า-การขาย มันเป็นหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ แล้วนายพิชัยว่าไง ก็อ้างว่า….
“ข้าวอินเดียออกมาตีตลาด ข้าวไทยเลยขายไม่ออก สู้ข้าวอินเดีย ข้าวเวียดนามไม่ได้ เพราะของเขาราคาถูกกว่าราคาข้าวไทย”
คำว่า “ข้าวอินเดียตีตลาด” คือโคตร “ข้ออ้างอมตะ” ข้อแรกของนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
ข้ออ้างอมตะที่ ๒ ข้าวไทยขายสู้ข้าวดินเดีย-เวียดนามไม่ได้ เพราะของเขาราคาถูกกว่า “ข้าวไทย”
ก็แสดงว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลคุยโขมงโฉงเฉง ว่าข้าวไทยขายดีในตลาดโลก ส่งออกเพิ่มขึ้นเท่านั้น/เท่านี้ตัน
นั่นเท่ากับว่าโม้
แค่ “ตีกิน” จากที่ “อินเดีย” ไม่ส่งข้าวออกขาย ข้าวไทยเลยขายได้ แค่นั้นเอง!
ไม่ใช่เพราะรัฐมนตรีพาณิชย์เก่งเป็นตะกรุมออกไปขยุ้มขยายตลาดได้ลูกค้าขาประจำมาเป็นกำเป็นกอบ…ใช่มั้ย !?
แบบนี้ พิชัยกลับไปขายเพชร-ขายพลอยเถอะไป๊ เอายามกระทรวงมาเป็นรัฐมนตรี รออินดียไม่ส่งข้าวขาย ข้าวไทยก็ขายได้เอง
เป็นโจทย์ “ตลาดข้าว-ตลาดโลก” เป็นที่รู้กัน ว่าอินเดียผลิตข้าวได้มากและราคาถูก
เวียดนาม ที่เคยรั้งท้ายไล่แซงขึ้นมานำไทยแล้วด้วยซ้ำ แถมพัฒนาพันธุ์ข้าวบางชนิดให้ผลผลิตดีกว่าไทย ทั้งราคาถูกกว่า
๒ เรื่องนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์หยิบมาแก้ตัวในประเด็นไทยขายข้าวไม่ออก ชาวนาเลยระกำ เพราะข้าวเปลือกราคาตกต่ำกว่าต้นทุนผลิต
สมควรแล้ว ที่มีเสียงร้องให้พิชัยลาออก!
รู้โจทย์แล้วทำไมไม่แก้ ดีแต่เอามาแก้ตัว ก็พูดเองว่า “เพราะข้าวไทยแพง จึงแข่งตลาดกับอินเดีย-เวียดนามไม่ได้”
ก็คิดแก้ไขซี ไม่ใช่แก้ตัว ทำไมอินเดีย-เวียดนามเขาขายข้าวถูกกว่าได้ แล้วทำไมเราจึงต้องชายแพง มันเพราะอะไร?
เพราะอินเดีย-เวียดนาม รัฐบาลเขาควบคุม “ต้นทุนการผลิต” ได้ใช่มั้ย?
แล้วของไทยเราล่ะ ที่มันแพง เพราะปล่อยชาวนาตามบุญ-ตามกรรมใช่มั้ย ผลผลิตต่อไร่เลยต่ำ แต่ต้นทุนผลิตกลับสูง
รัฐบาลคุยโขมงจะเป็นศูนย์ไอที เป็นศูนย์ชิปโลก
เอาให้ไทยพ้น “ฉิบหาย” จากเรื่องต้นทุนแพง-ข้าวเปลือกราคาถูกก่อนเหอะ ยังไม่ต้องไประดับ “ศูนย์ชิปโลก” หรอก
เอาแค่เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาลดต้นทุนการทำนา ทั้งเรื่องน้ำ เรื่องพ่นยา เรื่องเก็บเกี่ยวมานำร่องเป็นตัวอย่างให้ชาวนาเห็น แล้วหันมาทางนี้ก่อน มันจะเป็นอีกวิธีสู่การลดต้นทุนผลิต
พาณิชย์กับเกษตรเคยคุยตามประสาคนมีชาวนาอยู่ในหัวใจบ้างมั้ย?
และนายพิชัย เคยศึกษาสู่การวิเคราะห์ด้วยข้อมูลบ้างหรือไม่ว่า ระหว่างการทำนา “แบบเก่ากับแบบใหม่” อย่างไหนต้นทุนจะถูกกว่าและให้ผลผลิตต่อไร่มากกว่ากัน?
ไม่เคยมั้ง เอาแต่แกว่งไข่ไปเช็กแฮนด์ประเทศโน้น-นี้แล้วคุยโม้ เพื่อนฝรั่งต่างชาติผมเยอะแยะ
เยอะแยะแล้วได้อะไร ช่วยให้ขายข้าวเพิ่มได้ซักเม็ดมั้ย?
ข่าวอินเดียทุ่มตลาด แถมราคาถูกกว่า ไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาอยู่ตรงว่า แล้วรัฐบาล โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ รู้โจทย์แล้ว มีปัญญาแก้มั้ย?
ท่านรัฐมนตรีพิชัยครับ ขอถามคำ
ในเมื่อข้าวไทยในตลาดโลกแพง แต่ทำไมชาวนาจึงขายข้าวได้ราคาถูก?
ไอ้ที่แพงนั้น ใครเป็นคนได้ ชาวนาหรือพ่อค้าคนกลาง?
แถมอีกคำ….
ข้าวชาวนาขายได้ราคาต่ำ แต่ปรากฎว่า ข้าวที่ขายในประเทศกลับแพง เพิ่มกระสอบละ ๒๐๐ บาทเป็นอย่างต่ำ
ข้าวถุง ๕ กิโลกรัม จากร้อยบาทต้นๆ ขึ้นราคาทุกปี จนทุกวันนี้ จาก ๑๕๐ กว่าบาท ไปจนถึง ๒๐๐ กว่าบาทแล้ว
ทำไมเป็นอย่างนี้……
ข้าวส่งออกไม่ได้ แต่คนไทยกินข้าว ข้าวกลับแพงขึ้นรายเดือน-รายปี ในขณะที่ชาวนา “จนลง” รายเดือน-รายปี
พิชัย-รัฐมนตรีพาณิชย์ปากแจ๋ว ช่วยไขปริศนาทีซิ!
เห็นพล่าม ข้าวขายไม่ได้ราคา หาตลาดยาก แนะให้ชาวนาปลูกกล้วยส่งญี่ปุ่น อ้างญี่ปุ่นต้องการปีละเป็นล้านตัน
พิชัยเคยปลูกผมมั้ย การปลูกผมบนหัวให้ขึ้นดกปรกไหล่เหมือนปลูกหนวดที่คาง มันไม่ได้ เพราะต่างทำเลกัน
การเอานาข้าวมาปลูกกล้วย ก็ประมาณนั้น เพราะพืชมันต้องการทำเลคนละแบบ
กล้วยต้องยกร่องเป็นสวน นาเป็นที่ราบลุ่มชุ่มน้ำ จะเอากล้วยปลูกแซมนาก็ยังไม่ได้ ไปแนะอะไรที่มันเสร่ออย่างนั้นล่ะพิชัยเอ้ย!
กล้วยน่ะ ปลูกได้ แต่ไม่ใช่ในที่นา ที่สำคัญเรื่องสินค้าเกษตร ในกบาลรัฐมนตรีพาณิชย์ควรต้องมีคำว่า “สินค้าแปรรูป”
วิจัยตลาด พัฒนาการผลิตสินค้าเกษตร ออกตลาดโลกเป็น “สินค้าเกษตรแปรรูป” ไม่ใช่ขนกล้วยเป็นหวี-เป็นเครือส่งญี่ปุ่น
นี่ผมจะบอกให้ ผมเป็นคนชอบกินกล้วยแขก แต่หมอห้ามกินของทอด เดือนก่อน ไปยกองค์หลวงพ่อทวด ที่วัดทรายขาว สงขลา
มีโอกาสแวะไปที่ “บริษัท ซีเวลท์ โฟรเซ่น ฟู้ด จำกัด” ที่สิงหนคร สงขลา เป็นการ “เปิดกะลาครอบ” ผมเลย
เขาแปรรูปวัตถุดิบสินค้าประมง เป็นสินค้าอาหารแช่แข็งแปรรูปส่งไปทั่วโลก สารพัดยี่ห้อสุดแต่ประเทศไหนในยุโรป ในเอเชีย จะจ้างผลิตเป็นแบรนด์อะไร
บางยี่ห้อ ไปเที่ยวต่างประเทศ เช่น ไปญี่ปุ่นแล้วซื้อกลับมาโดยไม่รู้ว่าผลิตที่บ้านเราก็มี!
ที่ประทับใจผมมาก เขาทำ “กล้วยทอด” บรรจุถุง ภายใต้แบรนด์ Nature Gourmet BANANA Fritter หมายถึงอาหารชุบแป้งทอด ส่งขายนอกด้วย
ส่งออสเตรเลียเท่าไหร่ ไม่พอขาย กล้วยน้ำว้าในจังหวัดมีไม่พอ เจ้าของบริษัทต้องซื้อที่ดินไร่ละเป็นล้านหลายสิบไร่ เพียงเพื่อปลูกกล้วย แปรรูปเป็น Banana Fritter ส่งออก
เห็นมั้ย กล้วยน้ำว้า หวีละ ๑๐-๒๐ บาท เอามาแปรรูปเป็น “กล้วยทอด” ถุงละไม่กี่ชิ้น กลับขายได้ถุงละเป็นร้อย!
เนี่ย รัฐมนตรีพิชัย ไม่ต้องให้เปลี่ยนนาเป็นสวนกล้วยหรอก แนะให้ถูกที่ ส่งเสริมเกษตรแปรรูปและหาตลาดป้อนจะเข้าท่ากว่าคิดส่งสินค้าเกษตรทั้งดุ้น
ค่าน้ำหนักหวีกล้วยและค่าระวางขนส่ง มันก็เกินราคากล้วยไปแล้วมั้ง?
“สินค้าแปรรูป” เท่านั้น เกษตรไทยถึงจะ “รุ่งและรวย”
มัวแต่ส่งข้าว ส่งยาง ส่งแป้ง ขายเป็นตัน “คนปลูกจน-พ่อค้ารวย” อยู่อย่างนี้
ต้องก้าวสู่นวตกรรม “วิจัย-พัฒนา” จากขายเป็นตันละไม่กี่ร้อยเหรียญ แปรรูปเป็นสินค้า “ผลิตภัณฑ์เกษตร” ขายได้เป็นชิ้นละเป็นสิบ-เป็นร้อยเหรียญ
“เกษตร-พาณิชย์” ต้องคิดกระโจนนำประเทศขึ้นจากแอ่งตีนพ่อค้าผูกขาดในประเทศ ประเทศชาติ จึงจะรอด
อีกอย่าง ถ้าเอาแต่คิด “แปรรูปประเทศ” เป็นธุรกิจสนองเจ้าพ่อ
รออีกซักเดือน…มาทางไหน ไสหัวไปด้วยกันทางนั้นได้เลย!

เปลว สีเงิน
๘ มีนาคม ๒๕๖๘