4 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ว่า ตนก็ยินดีรับฟังทุกความเห็น เราเป็นนักการเมือง ก็ต้องรับฟัง ซึ่งตนก็ต้องพิสูจน์ตัวเองในการทํางานด้วย และยืนยันว่า ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกอย่างที่ได้ประกาศไว้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เริ่มมีการขุดภาพที่นายเอกนัฏ ไปร่วมเวที กปปส. ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายเอกนัฏ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เป็นเรื่องของบ้านเมือง ผลงานกับกาลเวลา จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งตนเข้าใจว่า หลายคนที่มีจุดยืนทางการเมือง ก็มีวิธีต่างกัน แต่สำหรับตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องเลือกทางออก ที่เชื่อว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด บางทีก็เป็นทางออกเดียว และเรายืนยันจุดนี้มาตลอดเวลา ในการปกป้องสถาบันหลักของประเทศ
เมื่อถามว่า จะทำให้เสียแนวร่วมเดิมไปหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่พูดได้แค่ส่วนตัวของเรา และทุกความคิดเห็น ไม่ว่าจะด่าหรือติชม ก็ต้องรับฟัง แต่ยืนยันยันว่า ที่ผ่านมา 20 ปี ตนยึดมั่นอุดมการทำงานให้ประชาชน และหลังจากนี้ต่อไป จะทำงานให้เต็มที่ ให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับมา
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ส่วนที่หลายคนวิจารณ์ว่า เป็นการหักอุดมการณ์ของตัวเอง ตนก็เข้าใจ เพราะเราอยู่ในอาชีพนี้ การตัดสินใจต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราเลือกทางที่ดีที่สุด และต้องเข้าใจว่า เวลานี้ภัยคุกคามของประเทศเปลี่ยนแปลงไป เป็นจังหวะสำคัญที่เราทุกคน ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาให้กับประเทศ ซึ่งตนประกาศไว้ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง
“พูดไว้เสมอว่า ใครก็ตามที่มีความคิด มีจุดยืน และมีอุดมการณ์เดียวกัน เราก็ทำงานร่วมมือกัน” นายเอกนัฏ กล่าว
เมื่อถามว่า สามารถทำงานร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้อย่างสนิทใจใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ ยิ้ม และกล่าวว่า เราก็ต้องทํางาน ถ้าคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ก็สามารถทำงานร่วมกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก จากนี้ไปจะเดินหน้าทำงานให้ประชาชน ไปสู่อนาคต
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนํา กปปส.หรือยัง นายเอกนัฏ ยิ้มและส่ายหัว พร้อมกล่าวว่า ที่ผ่านมาก็คุยกับทุกคนตามปกติ ทั้งคนที่หวังดีและไม่ดี แต่ส่วนตัวเข้าใจ และที่ผ่านมา ตนไม่อยากพูดมาก แต่เราก็รับฟังคนที่ตำหนิเรามาตลอด เข้าใจว่าเขามีปรารถนาดี และเรานำไปปรับปรุงตัว ยํ้าว่า อุดมการณ์ของตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า ส่วนคุณสมบัติรัฐมนตรีของตัวเอง ก็เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล และตนเชื่อว่า กระบวนการตรวจสอบก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดถึงอีก เพราะตอนนี้เราเดินหน้าทำงานอย่างเดียว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายเอกนัฏ ถูกเรียกไปเป็นพยานในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนต้องไปตามกระบวนการ เพราะมีหมายเรียก