คลิกฟังบทความ..⬇️
เปลว สีเงิน
ผมเป็นห่วง “นายกฯเศรษฐา” นะ
ตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล ยังไม่มีงานไหนสร้างรายได้เข้าประเทศได้เลย
ตรงกันข้าม รายการ “ใช้เงินประเทศ” ยาวเหยียด!
ประเดิมด้วย ๓๐ กว่าล้าน เหมาเรือบินไปยูเอ็น
ต่อด้วย ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติเพื่อตั้งสสร.เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ จากฉบับปราบโกง ไปเป็นฉบับเปิดช่องโกง
ทั้งการทำประชามติไม่ต่ำกว่า ๓ ครั้ง ทั้งการตั้งสสร.เขียนรัฐธรรมนูญใหม่
วางไว้เลย ไม่หนี ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท!
อีกงานเร่งด่วนของเศรษฐา คือ แจกเงินดิจิทัล คนอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป คนละ ๑ หมื่น รวม ๕๖๐,๐๐๐ ล้านบาท
คนทั้งเมืองนินทาแซด
“แจกไม่เลือกหน้าทั้งเศรษฐีและยาจก ๕๐ กว่าล้านคน แจกเพื่ออะไร แจกแบบนี้ มีเลศนัยในการแจกหรือเปล่า!?
จนตอนนี้ เขาเรียกรัฐบาลเศรษฐาว่า “รัฐบาล ๒ ล้าง”
คือ “ล้างโทษ” กับ “ล้างผลาญ”!
เข้ามาเดือนเดียว หุ้นตก ทองตก ค่าเงินตก เศรษฐกิจตก ดัชนีเชื่อมั่นตก จีดีพีตก ฝนตก เลือดก็ตก
ทุกอย่างตกหมด……..
เหมือนหุ้น “เหรียญดิจิทัล” XPG ของบริษัทเอกซ์สปริง ที่ “แสนสิริ” ถือหุ้นใหญ่อยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ!
มองอนาคตประเทศผ่านรัฐบาลที่เศรษฐาเป็นนายกฯ แทนจะเห็นแสงรุ้งทาบปลายขอบฟ้า กลับมีแต่ความมืดมิด-ดำทะมึนปิดทับ
แค่ ๑ เดือน ภายใต้เศรษฐาบริหารยังให้ภาพขนาดนี้
สมมติอยู่ถึง ๔ ปี
เดาไม่ถูก ประเทศไทย จะอยู่สภาพไหน ณ วันนั้น?
เรื่องแจกเงินดิจิทัล ๕.๖ แสนล้านบาท มีแต่คนค้าน แต่ “เศรษฐา-เพื่อไทย” ยังดันทุรัง จนน่าสงสัย?
มีคนให้ข้อมูลกันหลายด้าน ที่พูดถึงกันมาก คือที่ “ลงทุนแมน” โพสต์ ในเพจ “Blockdit”
จะขออนุญาตนำเผยแพร่เป็นวิทยาทานต่อ ดังนี้
——————————-
ทำไมรัฐบาลไทย “ไม่ควรเสี่ยง” แจกเงิน 560,000 ล้านบาทในตอนนี้
โดย ลงทุนแมน
1. โลกเรากำลังพบกับเหตุการณ์ที่ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบกว่า 10 ปี นำโดยธนาคารกลางสหรัฐเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
2. เหตุการณ์นี้ มันเกิดขึ้นแบบรวดเร็ว จนหลายคนยังวนเวียนกับ QE สหรัฐพิมพ์เงินล้น และคิดว่า ตอนนี้เรายังอยู่ในยุคที่เงินในระบบมีมหาศาล ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
แต่จริง ๆ มันเปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ ตอนนี้คนเอาเงินไปฝากที่สหรัฐ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 5.4% ต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ได้ดอกเบี้ย 0%
3. สำหรับในไทย ที่ผ่านมาก็ขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ มาบ้างแล้ว แต่ไทยก็ยังมีดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ต่ำกว่าสหรัฐเท่าตัว
และแน่นอนเมื่อเป็นแบบนี้ เงินจึงไหลออกไปยังที่ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า และนั่นจึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
มาถึงตอนนี้ เราคงเข้าใจตรงกันว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่ดอกเบี้ยไม่ต่ำแล้ว และถ้ามีเรื่องใหญ่มากระทบ ดอกเบี้ยก็จะสูงเพิ่มได้อีก
4. แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ แจกเงิน 560,000 ล้านบาท ?
คำตอบคือ การแจกเงินจำนวนมากขนาดนี้ รัฐบาลต้องกู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นกู้โดยตรงผ่านรัฐบาลเอง หรือจะใช้เครื่องมือทางอ้อมผ่านทางธนาคารออมสินอะไรก็แล้วแต่
สุดท้าย มันก็จะมีการกู้เงินในตลาดที่มีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันอยู่ดี
ปกติแล้วรัฐบาลจะกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรให้ตลาด แล้วตลาดก็จะเอาเงินก้อนไปให้รัฐบาลเพื่อแลกกับดอกเบี้ย พร้อมการคืนเงินต้นในอนาคต
5. อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตร จะไม่ได้ขึ้นกับดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว
แต่จะขึ้นอยู่กับความคาดหวังของนักลงทุนด้วย ซึ่งมันจะมาจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นก็คือ ความต้องการใช้เงินจากภาครัฐในอนาคต
6. เมื่อตลาดคาดหวังว่ารัฐบาลจะกู้เงิน 560,000 ล้านบาท มาแจก จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น หรือในทางการเงินเรียกว่า Yield เพิ่ม
ซึ่ง Yield ของพันธบัตรระยะยาวของไทย เพิ่มขึ้นสูงตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลไทยจะเริ่มการแจกเงินจำนวนมาก
7. แปลว่าในตอนนี้ เมื่อรัฐบาลจะกู้เงิน รัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพงขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งแปลว่า ต้นทุนของรัฐบาล(ซึ่งมันก็เป็นของคนไทยทุกคน)จริง ๆแล้ว มันไม่ใช่ 560,000 ล้านบาท
แต่มันจะต้องบวกค่าดอกเบี้ยเพิ่มไปด้วย ตัวอย่างเช่นดอกเบี้ย 2.5% ดอกเบี้ย ก็ปีละ 14,000 ล้านบาท
8. รู้ไหมว่า จากเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง เมื่อ 26 ปีที่แล้ว ตอนนั้น รัฐบาลไทยก็มีหนี้แบบนี้ 1 ล้านล้านบาท ในกองทุนฟื้นฟู FIDF
ผ่านมาเป็น 20 ปี ตอนนี้ เงินต้นยังเหลือ 600,000 ล้านบาท ปีที่แล้ว แค่ค่าดอกเบี้ยก็ 19,000 ล้านบาท และกว่าหนี้ก้อนนี้จะหมด คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสิบปี
9. ที่สำคัญคือ รู้ไหมว่ารัฐบาลเอาที่ไหนมาจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟู?
คำตอบก็คือ 0.46% ของเงินฝากพวกเราทุกคน
ใช่.. ถ้าไม่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในตอนนั้น
วันนี้พวกเราทุกคน จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร “เพิ่มขึ้นอีก 0.46%”
เงินจำนวนนี้ ธนาคารทุกธนาคารจะหักและนำส่งกองทุนฟื้นฟู
ถ้าจะถามว่า วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ 26 ปีที่แล้ว สร้างภาระให้ลูกหลานจนถึงวันนี้ และยังคงสร้างภาระต่อไปจนถึงวันหน้า
ก็คงตอบว่า “มันเป็นแบบนั้น”
ทุกวันนี้ คนไทยที่มีเงินฝาก ต้องเสมือนเสียค่า subscription 0.46% ต่อปี
ถ้าฝากเงิน 10,000 บาท ก็เสียค่าสมาชิกปีละ 46 บาท
ถ้าฝากเงิน 100,000 บาท ก็เสียค่าสมาชิกปีละ 460 บาท
หลายคนคงเริ่มคิดว่า ลูกหลานของเราที่เกิดมา มีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องมารับภาระจ่ายเงิน 0.46% จากเงินฝากของเขา แต่เขาก็ต้องจ่าย เพียงเพราะเขาเกิดมาอยู่ในประเทศไทย..
10. เรากำลังสร้างหนี้ก้อนมหึมา ที่ขนาดเกือบเท่าหนี้กองทุนฟื้นฟูอีกก้อนหนึ่ง
หลายคนยังไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดไหน? เราลองมาเทียบขนาดกัน
-งบสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ 120,000 ล้าน
-ท่าเรือแหลมฉบัง เฟสสาม 110,000 ล้านบาท
-รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 100,000 ล้านบาท
-รถไฟฟ้าสายสีแดง 96,000 ล้านบาท
-รถไฟฟ้าสายสีชมพู 53,000 ล้านบาท
-รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 50,000 ล้านบาท
-สถานีรถไฟกลางบางซื่อ 16,000 ล้านบาท
เงินที่รัฐบาลกำลังจะแจกนี้ สร้างโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด
ยังเหลือเงินทอน!
ในขณะที่รัฐบาลกำลังจะนำเงินจำนวนนี้มาแจก เพื่อกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น และคาดหวังให้เกิดการใช้จ่ายเป็น Multiplier ในระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งการทำแบบนี้ มันจะเหมาะสมในเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเกิดวิกฤติ เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับต่ำ
11. ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่มีความกดดันจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลแจกเงิน จะยิ่งส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ และเพิ่มความกดดันที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามมา
และเมื่อไหร่ก็ตามที่ดอกเบี้ยขึ้น ก็จะย้อนกลับมาเป็นต้นทุนการเงินของทุกธุรกิจในที่สุด
ซึ่งตอนนี้ ธุรกิจที่ต้องระดมทุนด้วยหุ้นกู้ก็ประสบปัญหาต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
บางธุรกิจ ถึงขนาดไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยและเกิดปัญหาสภาพคล่องแล้ว
12. แน่นอน ข้อดีของการแจกเงินที่ทุกคนคาดหวังคือจะให้เกิด Multiplier Effect ที่มากกว่า 1 ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะได้มากกว่า 1 หรือไม่
แต่ถึงทำได้ผลจริง การกระตุ้นการบริโภคนี้มันก็จะอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี และมีความเสี่ยงที่ผู้ผลิต ผู้ให้บริการ จะเพิ่มกำลังการผลิต เพราะคิดว่ามีความต้องการ
แต่เมื่อความต้องการนั้นหมดแรงกระตุ้น กำลังการผลิตที่เพิ่มมานั้น ก็จะเป็นส่วนเกินในระบบ จะเป็นปัญหาตามมาในระบบเศรษฐกิจ
13. อีกประเด็นก็คือ การพัฒนาระบบบล็อกเชนเพื่อมารองรับการแจกเงิน ถ้าหากทำจริงก็จะต้องใช้เวลา เงินทุนในการพัฒนา
และความเสถียรของระบบการจ่ายเงินด้วยบล็อกเชนสำหรับการใช้งาน 50 ล้านคนทั่วประเทศ
ไม่เคยมีประเทศไหนทำมาก่อน!
แปลว่าประเทศเรากำลังจะเป็นหนูทดลองตัวใหญ่
ซึ่งแปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่ประเทศไทยก็มีระบบการจ่ายเงินด้วยพร้อมเพย์ในเป๋าตังอยู่แล้ว…ฯลฯ…..
………………………….
ผมขอเก็บความมาสรุปเพื่อกระชับพื้นที่
หนี้ “ต้มยำกุ้ง” ปี ๒๕๔๐ มีคนโม้ “ใช้หนี้ IMF หมดแล้ว”
ถุ้ยยย…นั่นส่วนจิ๊บจ๊อย
ก้อนโตคือหนี้ “กองทุนฟื้นฟู” ในประเทศ ซึ่งหักดอกเบี้ยเงินฝากเราทุกคนจนถึงขณะนี้ไปจ่าย โดยเราไม่เคยรู้
ยังมีเหลือที่ต้องจ่ายอีก ร่วม ๗ แสนล้านบาท ปี ๒๕๗๕ นั่นแหละ จะใช้หนี้หมด
หนี้อีกก้อน “หนี้ทุจริตจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์”
ขาดทุน ๙.๕ แสนล้านบาท รัฐบาลลุงตู่ใช้หนี้ไปแล้ว ๗.๘ แสนล้านบาท
เหลือเงินต้น/ดอกเบี้ยอีก ๓ แสนล้านบาท จะใช้หนี้หมดในอีก ๑๒ ปี
รวมหนี้ ๒ ก้อนนี้ ก็กว่า ๑ ล้านล้านบาทแล้ว แทนที่จะได้นำมาพัฒนาประเทศ กลับเสียไปเพราะ “นักการเมืองโกง”
เศรษฐาจะกู้มาแจกอีก ๕.๖ แสนล้าน ก็คือเอาเงินเรามาแจกให้เรา เพื่อเอาหน้า-เอาคะแนน ชนิดมีแผนซ่อนเร้น แล้วให้เราใช้หนี้เอง ยาวไปถึงรุ่นลูก-หลาน
รวมแล้วร่วม ๑๐๐ ปี กว่าจะใช้หนี้ทั้ง ๓ ก้อนนี้หมด
ก็ลองตอบซิ….
จะเอา ๑ หมื่น หรือจะเอาหนี้ ๑๐๐ ปีจากเศรษฐา?
เปลว สีเงิน
๖ ตุลาคม ๒๕๖๖