มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มจากทั่วโลกหรือในประเทศไทยเอง โดยตัวเลขของผู้หญิงที่ตรวจพบเป็นมะเร็งเต้านมทั่วโลกมีประมาณ 2.2 ล้านรายต่อปีและเสียชีวิตราว 680,000 คนต่อปี
สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกรมการแพทย์ในปี 2564 พบว่ามีหญิงไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมประมาณ 17,043 คนต่อปี หรือคิดเป็น 47 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตถึง 13 คนต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคและการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง เพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย รวมถึงช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้
แพทย์หญิงวีรวรรณ ฉัตรตรัสตรัย รังสีแพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัยขั้นสูงด้านเต้านมและรังสีร่วมรักษาของเต้านม โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามอายุ, มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในครอบครัว, มีญาติสายตรงที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่, การมีประจำเดือนเร็วและหมดประจำเดือนช้า, เคยมีประวัติการฉายแสงบริเวณหน้าอกมาก่อน, และการมีภาวะเนื้อเต้านมหนาแน่น ซึ่งจะทราบได้โดยการทำแมมโมแกรม
ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น ภาวะน้ำหนักเกิน, การดื่มแอลกอฮอล์, การใช้ยาฮอร์โมนต่อเนื่องเป็นเวลานาน และการออกกำลังกาย
ผู้หญิงทุกคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการทำแมมโมแกรมควบคู่กับการทำอัลตราซาวนด์เต้านม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีประวัติอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีประวัติทางพันธุกรรมในครอบครัว หรือมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านเต้านมเพื่อเข้ารับการตรวจก่อนกลุ่มผู้หญิงทั่วไปในช่วงอายุที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ขณะเดียวกัน ในกลุ่มที่มาด้วยอาการผิดปกติของเต้านม เช่น มีการคลำได้ก้อน, มีน้ำไหลออกจากหัวนม, มีลักษณะของเต้านมและผิวหนังที่ผิดไปจากปกติ (ผิวหนังบุ๋มตัว คล้ายเปลือกส้ม หรือหัวนมบุ๋ม), เคยเจาะพบชิ้นเนื้อประเภทความเสี่ยงสูงมาก่อน, และเคยมีประวัติมะเร็งเต้านมมาก่อน ควรได้รับการตรวจด้วยแมมโมแกรม และ/หรือ อัลตราซาวนด์ทุกราย
สำหรับการทำแมมโมแกรมเป็นการตรวจภาพเต้านมโดยการใช้ภาพถ่ายทางรังสี โดยเครื่องตรวจจะปล่อยรังสีในระดับต่ำ ปริมาณรังสีเมื่อเทียบกับการตรวจเอกซเรย์ปอดพบว่าสูงกว่าเพียงเล็กน้อย หรือคิดเป็น 1 ใน 6 ของปริมาณรังสีตามธรรมชาติที่อยู่รอบตัว
ในปัจจุบันโรงพยาบาลเวชธานีมีเทคโนโลยีการตรวจด้วยแมมโมแกรม 3 มิติ ใช้เวลาถ่ายภาพเอกซเรย์เพียง 3.7 วินาทีต่อท่า ช่วยให้สามารถแยกก้อนเนื้อออกมาจากการทับซ้อนกันของเนื้อเต้านมได้ ส่งผลให้เห็นก้อนเนื้อหรือหินปูนที่ผิดปกติได้ชัดเจนขึ้นและยังได้ภาพที่ละเอียดมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีเนื้อเต้านมที่แน่น (dense breast) ดังนั้นการตรวจเต้านมโดยการทำแมมโมแกรมปีละ 1 ครั้งจึงถือว่ามีความปลอดภัย และช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติของเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
ส่วนการทำอัลตราซาวนด์ จะทำให้เห็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำในเต้านมได้ หากพบว่ามีก้อนเนื้อจะสามารถบอกขนาดและขอบเขตของก้อนเนื้อได้ว่าเรียบร้อยดี หรือค่อนไปทางมะเร็ง ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยได้ละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น
“การตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ประจำปีไม่ใช่วิธีการป้องกันมะเร็งเต้านม แต่ช่วยในการคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในทางในการเจาะตรวจชิ้นเนื้อในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติจากภาพวินิจฉัย ทำให้สามารถตรวจพบรอยโรคได้ในขนาดเล็กขณะที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ และสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้เพิ่มอัตราการรอดชีวิต และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ป่วยได้” แพทย์หญิงวีรวรรณกล่าว
มะเร็งเต้านมถือเป็นภัยเงียบใกล้ตัว การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวน์จึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคนที่มีข้อบ่งชี้ เพราะมะเร็งเต้านม รู้เร็ว รักษาหายขาดได้