16 ตุลาคม 2565 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีพรรคการเมืองบางพรรคประกาศนโยบาย แก้ไขมาตรา 112 ว่า
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่า พรรคไม่มีนโยบายที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 พรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นในระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เนื้อหาสาระสำคัญของมาตราดังกล่าวนั้น ไม่ได้ไปสร้างความเสียหายความไม่เป็นธรรมให้กับใคร ต้องมองที่การกระทำของบุคคลมากกว่าตัวบทกฎหมาย
หากมีการกระทำที่เป็นความผิดก็ให้ว่าไปตามกฎหมาย และเป็นการกระทำความผิดส่วนตัว ไม่ใช่กฎหมายมีปัญหา ความคิดและการกระทำของคนต่างหากที่มีปัญหา เมื่อมีการก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ผิดถูกก็ต้องว่ากันตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
และชัดเจนว่า มาตรา 112 ไม่ได้ขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมหรือรัฐธรรมนูญ แต่อาจจะขัดใจผู้ที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง พรรคการเมืองใดยื่นแก้ไข ก็ขอให้กลับไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ดี เพราะได้เคยวินิจฉัยอธิบายความสำคัญของ มาตรา 112 ไว้แล้ว
มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาตามที่มีผู้บิดเบือน การเสนอแก้มาตรา 112 ต่อสภาฯ ดังนั้นการที่อ้างว่า เพื่อให้นักโทษทางความคิดได้รับการนิรโทษกรรมปล่อยตัว และไม่ให้เกิดนักโทษทางความคิดเพิ่มขึ้นอีก และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศไทย เป็นการบิดเบือนทั้งสิ้น และเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงการกระทำของคนทำผิด
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากแนวความคิดเรื่องการนิรโทษกรรมให้คนทำผิดเช่นที่ผ่านมา ซึ่งความคิดและการกระทำที่ดีนั้นก็ไม่ควรจะต้องกลัวกฎหมายเช่นกัน แต่หากการคิดไม่ดีนำไปสู่การกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องกล้าหาญออกมายอมรับผลด้วย อย่าขี้ขลาดตาขาว หลักการความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้ไม่สลับซับซ้อน พรรคการเมืองนักการเมืองมืออาชีพจะรู้หลักการพื้นฐานเรื่องนี้ดี
นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า พรรคไหนจะประกาศนโยบายก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองนั้นๆ และต้องรับผิดชอบ ที่สำคัญนโยบายต่างๆ ต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญเช่นกัน